บรรณาธิการแถลง: บทความทุกชิ้นซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้
มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อวัตถุประสงค์ในการขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กับสังคมไทยอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมุ่งทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางเล็กๆ แห่งหนึ่งสำหรับเก็บสะสมความรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถหยิบฉวยไปใช้ได้ตามสะดวก
ในฐานะที่เป็นสมบัติร่วมของชุมชน สังคม และสมบัติที่ต่างช่วยกันสร้างสรรค์และดูแลรักษามาโดยตลอด.
สำหรับผู้สนใจร่วมนำเสนอบทความ หรือ แนะนำบทความที่น่าสนใจ(ในทุกๆสาขาวิชา) จากเว็บไซต์ต่างๆ
ทั่วโลก สามารถส่งบทความหรือแนะนำไปได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com
(กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน: ๒๘ มกาคม ๒๕๕๐)
Homeland
Security Act
Midnight University
๘ คำถามเกี่ยวกับ พรบ.
ความมั่นคงภายใน
พระราชบัญญัติย้อนยุค: พรบ.ความมั่นคง - พรบ.ใครมั่นคง
? (ตอนที่ ๑)
กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
: เรียบเรียง
ข้อมูลส่วนใหญ่ได้รับมาจากการรวบรวมของสำนักข่าวชาวบ้าน
บทความวิชาการต่อไปนี้
กองบรรณาธิการ ม.เที่ยงคืนเรียบเรียงจาก
งานรวบรวมของสำนักข่าวชาวบ้าน เดิมมีคำถามอยู่ ๙ ข้อ แต่เนื่องจาก
คำถามที่ ๒ และคำถามที่ ๙ หัวข้อซ้ำกัน, ดังนั้นจึงได้ตัดส่วนคำถามที่ ๙ ออก
ประกอบด้วย
๑. คน "ภายนอก" มองไทยอย่างไรเรื่องนี้ (เกี่ยวกับ พรบ.ความมั่นคง)
?
๒. องค์กรสิทธิมนุษยชน(ในประเทศไทย) มองเรื่องนี้อย่างไร ?
๓. ช่วยยกตัวอย่างบางมาตราใน พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ... ?
๔. ฟังแล้วความมั่นคงเป็นสิ่งที่ดี ช่วยขยายความหน่อยได้หรือไม่ ?
๕. ที่ผ่านมาทำอย่างไร ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทำไมต้องมามีตอนนี้ ?
๖. ได้ยินมาว่านี่เป็นการสร้าง "ระบอบทหาร" จริงเท็จอย่างไร ?
๗. ผบ. ทบ. ดูเหมือนว่าจะมีอานาจล้นฟ้า ?
๘. เห็นมีประท้วงกัน ช่วยยกตัวอย่างหน่อยได้หรือไม่ ?
นอกจากนี้ยังได้นำเอาข้อห่วงใยของ สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย
เกี่ยวกับพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมานำเสนอ พร้อมจดหมายเปิดผนึกของ
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ถึงนายกรัฐมนตรีมาแนบ
สำหรับผู้สนใจสาระทั้งหมดของ
พรบ.ความมั่นคงฉบับนี้ คลิก
http://midnightuniv.tumrai.com/midnight2544/0009999625.html
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้
ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ลำดับที่ ๑๔๐๐
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่
๐๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ
๑๖.๕ หน้ากระดาษ A4)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
๘ คำถามเกี่ยวกับ พรบ.
ความมั่นคงภายใน
พระราชบัญญัติย้อนยุค: พรบ.ความมั่นคง - พรบ.ใครมั่นคง
?
กองบรรณาธิการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
: เรียบเรียง
ข้อมูลส่วนใหญ่ได้รับมาจากการรวบรวมของสำนักข่าวชาวบ้าน
รวมพลังคัดค้าน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ (ด่วนที่สุด)
ข่าวด่วน ! หลังจากวิปรัฐบาล-สนช. ตีกลับ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไปให้รัฐบาลพิจารณาใหม่ แต่เมื่อวันอังคารที่ 30 ตุลาคม (2550) ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติยืนยันเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ส่งกลับปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แล้ว โดยมิได้มีการแก้ไขมาตราใด ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จะพิจารณากฏหมายดังกล่าว ในวันพุธที่ 7 พฤศจิกายนนี้ โดยเนื้อหาหลักของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ดังกล่าว มีดังต่อไปนี้
1. ให้อำนาจครอบจักรวาล (มาตรา 15) ออกข้อกำหนดห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดการปฏิบัติการได้, ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ที่กำหนดได้, ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด, ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ (มาตรา 17) ซึ่งเท่ากับว่า สามารถออกกฏหมายนิติบัญญัติได้ในตัว (กอ.รมน.สามารถทำหน้าที่แทนฝ่ายนิติบัญญัติ)
2. จะแก้ไขให้ ผอ.รมน.เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มาตรา ๑๐ ยังให้แม่ทัพภาคเป็น "ผอ.รมน.ภาค" เหมือนเดิม ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการและลูกจ้างของกองทัพภาค รวมทั้งข้าราชการ พนักงาน และยังสามารถเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างที่ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติงานใน กอ.รมน.ภาค และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของ กอ.รมน.ภาคได้ (รัฐซ้อนรัฐ-โดยทหาร)
3.บรรดาข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (มาตรา 22) (กอ.รมน.มีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร)
4. ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย (มาตรา 23) (กอ.รมน.ทำหน้าที่แทนฝ่ายตุลาการ)
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรภาคประชาชน ฯลฯ ขอเชิญรวมพลังคัดค้าน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อีกครั้งหนึ่ง (ด่วนที่สุด)
- จันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2550 เวลา 13.00-16.30 น. เสวนาโต๊ะกลม "รวมพลังคัดค้าน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ" ณ ห้องประชุม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถ.สามเสน (ตรงข้ามโรงพยาบาลวัชระ) เขตดุสิต กรุงเทพฯโทร 02-2438479, 086-5224288
นำอภิปรายโดย
นายไพโรจน์ พลเพชร เครือข่ายสิทธิมนุษยชน (เลขาธิการ สสส.), นายสาวิตต์ แก้วหวาน เครือข่ายแรงงาน (เลขาธิการ สรส.), นางฉันทนา บรรพศิริโชค เครือข่ายนักวิชาการ (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), นายสมคิด เลิศไพทูรย์ เครือข่ายนักกฏหมาย (เลขานุการ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ), นายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เครือข่ายนักศึกษา (เลขาธิการสนนท.), นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เครือข่ายปฏิรูปสื่อ (เลขาธิการ คปส.), นายจอน อึ้งภากรณ์ เครือข่ายเอ็นจีโอ (ประธาน กป.อพช.), ผู้แทนสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, แกนนำเครือข่ายภาคประชาชนสายต่างๆ- อังคาร 6 พฤศจิกายน 2550 เวลา 11.00 น. ยื่นหนังสือถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้ารัฐสภา
ข้อห่วงกังวลของ: สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย
เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ....
(กรุงเทพฯ 3 กรกฎาคม 2550) สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย (ฟอรั่ม-เอเชีย)
องค์กรพัฒนาเอกชนระดับภูมิภาคทางด้านสิทธิมนุษยชน ขอแสดงความกังวลกับแผนของรัฐบาลทหารไทยในการผลักดันให้ผ่านร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน
ซึ่งเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ร่างนี้ได้รับการให้ไฟเขียวโดยคณะรัฐมนตรีใน รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์
ร่าง พ.ร.บ.นี้ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการแก้ไขโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา และจะถูกส่งต่อไปที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาแก้ไขทางกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.นี้มีเป้าหมายที่จะนำกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ทั้งนี้ กอ.รมน. เป็นองค์กรของทหารที่มีบทบาทผลักดันนโยบายที่สร้างความกลัวในหมู่ประชากรในสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในปีคริสตศตวรรษที่ 1970 อีกทั้ง กอ.รมน. ยังมีบทบาทในเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายกรณีในช่วงระยะเวลานั้น
นายอัลเซลโม่ ลี ผู้อำนวยการฟอรั่ม-เอเชีย ให้ความเห็นว่า " ร่าง พ.ร.บ.นี้เป็นการการเดินถอยหลังเนื่องจากสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมจะถูกดึงถอยหลังกลับไป และเป็นการนำประเทศกลับไปสู่ช่วงที่มีการปกครองโดยทหาร พ.ร.บ.นี้จะให้อำนาจกับ กอ.รมน. ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกจะเป็นบุคคลที่เป็นผู้อำนวยการองค์กรนี้ และจะทำให้ กอ.รมน. สามารถมีอำนาจได้มากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคต"
หลักการพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิในการคมนาคมเคลื่อนที่ สิทธิในการชุมนุม และสิทธิในการรวมตัวเป็นสมาคม จะได้รับการริดรอนหากร่าง พ.ร.บ.นี้ผ่านการเห็นชอบจาก สนช. นอกเหนือจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.นี้จะให้อำนาจผู้อำนวยการ กอ.รมน. ในการจับกุม ควบคุมบุคคล และสามารถควบคุมไว้ในสถานที่ที่กำหนดได้ ซึ่งไม่ใช่สถานีตำรวจหรือทัณฑยสถาน มากกว่าระยะเวลาเจ็ดวันโดยไม่ต้องมีหมายค้น ในกรณีนี้เป็นการละเมิดหลักกฎหมายและกติการะหว่างประเทศ ทางด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคีโดยตรง
การคุมขังบุคคลที่สถานที่อื่นที่ไม่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากล และเป็นที่ ๆ ทนายความ องค์กรที่ทำการตรวจสอบทัณฑสถาน หรือครอบครัวของผู้ต้องหา รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไม่สามารถเข้าได้ยังตั้งประเด็นคำถามถึงความเป็นไปได้ในการสร้างบรรยากาศให้มีการทรมานผู้ต้องหา และประเด็นที่สร้างความกังวลใจให้มากกว่านี้ คือ ในมาตรา 26 วรรค 2 ที่ "ให้ ผอ.กอ.รมน. ออกประกาศให้เจ้าพนักงานมีอำนาจ ดำเนินการปราบปรามบุคคล กลุ่มบุคคล หรือกล่มองค์กรที่...เป็นภัยต่อความมั่นคง "
ในหลาย ๆ กรณี การนิยามคำว่า "ความมั่นคงแห่งชาติ " มักจะได้รับความสับสนระหว่างความมั่นคงที่รัฐให้ความสำคัญกับความมั่นคงของมนุษย์ สำหรับรัฐบาลทหารนี้และกลุ่มองค์กรเรียกร้องประชาธิปไตยและองค์กรที่แสดงความต่อต้านกับร่างรัฐธรรมนูญอาจจะถูกมองได้ว่าเป็น " ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ"
นอกเหนือจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.นี้ยังให้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ "ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย" ซึ่งได้ตั้งคำถามและความกังวลให้กับความเป็นไปได้ของการใช้อำนาจเกิดขอบเขตโดยเจ้าหน้าที่รัฐ. "จากเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการที่ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้รับการลงโทษเป็นจำนวนมากมีหลายกรณีที่เชื่อว่ากองกำลังของรัฐบาลมีความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการที่ประชาชนมากกว่า 2,000 คนเสียชีวิตในเหตุการณ์สงครามยาเสพติดในปี 2003, กรณีการทรมานและการสังหารนอกกฎมายในภาคใต้, และกรณีการเสียชีวิตของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมากกว่า 20 คน โดยที่บุคคลที่มีส่วนร่วมในการสังหารนักปกป้องสิทธิมนุษยชนยังไม่ได้รับการดำเนินคดี เราจึงมีความกังวลอย่างมากว่าสถานการณ์จะเลวร้ายกว่านี้ ถ้าร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวได้รับการเห็นชอบโดย สนช." นายอัลเซลโม่ ลีกล่าว
ประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติมีพันธกิจระหว่างประเทศ ในการปฎิบัติตามข้อตกลงทางด้านสิทธิมนุษยชน โดยไม่ให้มีการเกิดขึ้นของกฎหมายเช่นนี้ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียหรือสิงคโปร์เกี่ยวกับกฎหมายนี้ เป็นเพียงการส่งเสริมให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม. ฯพณฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีรักษาการในฐานะที่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกสิทธิมนุษยชนในอาเซียน ควรจะเข้าใจว่า เมื่อ พรบ.นี้ผ่านเป็นกฎหมาย กลไกทางสิทธิมนุษยชนในประเทศ ซึ่งร่วมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะไม่สามารถปฎิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหาก พ.ร.บ.นี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลโดยไม่ได้เล็งเห็นผลกระทบ อาจจะเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าคำสัญญาของนายกรัฐมตรีเป็นเพียงคำพูดอย่างสวยงามโดยมิได้มีความสนใจที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
ข่าวแถลงจาก : สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย
คำถามที่ ๑ คน "ภายนอก" มองไทยอย่างไรเรื่องนี้
?
27 มิถุนายน 2550 องค์การฮิวแมนไรท์เฟิร์ส (Human Rights First) ออกใบแถลงข่าวเมื่อวันที่
26 มิถุนายน ระบุว่า กฎหมายฉบับใหม่ที่มีการเสนอในประเทศไทย จะเพิ่มอำนาจให้แก่กองทัพให้มีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน
โดยให้บรรดาข้าราชการทั้งพลเรือนและทหารได้รับความคุ้มครองไม่ต้องถูกดำเนินคดี
ซึ่งองค์การฮิวแมนไรท์เฟิร์สซึ่งมีสำนักงานอยูที่นครนิวยอร์คเห็นว่า นี่คือ "สูตรยาโด๊ปเพิ่มการละเมิดสิทธิมนุษยชน".
เนล ฮิคส์ (Neil Hicks) ผู้อำนวยการโครงการนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ของฮิวแมนไรท์เฟิร์ส
กล่าวว่า รัฐบาล ควรจะถอนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวเสียและต้องสัญญาว่าหากจะมีกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงใหม่ใดๆ
จะต้องจัดทำขึ้นโดยกระบวนการประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนนี้ คณะรัฐมนตรีไทยที่แต่งตั้งโดยกองทัพ ได้อนุมัติร่างกฎหมายความมั่นคงที่จะขยายขอบเขตอำนาจของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) อย่างกว้างขวาง กอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานของกองทัพที่สร้างขึ้นในยุคของสงครามเย็น จะได้รับอำนาจให้จับกุม คุมขัง และค้นผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อวินาศกรรม ก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ ความรุนแรง การโฆษณาชวนเชื่อ หรือการยั่วยุโดยมีความประสงค์ที่จะให้เกิดความไม่สงบ หรือ "เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ". คำถามคือ "หากรัฐบาลได้ตั้งใจจริงว่าจะกลับไปสู่ประชาธิปไตยแล้ว ทำไมจึงรีบร้อนที่จะออกกฎหมายความมั่นคงซึ่งเป็นภัยต่อสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างยิ่งเช่นนี้ " ฮิคส์กล่าว และว่า การเพิ่มอำนาจให้แก่กองทัพอย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกันก็ลดทอนอำนาจในการตรวจสอบเช่นนี้ แน่นอนว่า นี้คือสูตรยาโด๊ปเพื่อเพิ่มพลังการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั่นเอง
ฮิวแมนไรท์เฟิร์สระบุว่า ร่างกฎหมายไม่ได้ระบุบทบาทที่ชัดเจนของรัฐบาลพลเรือนที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่กลับเพิ่มอำนาจให้แก่ กอ.รมน. อย่างมากมายโดยใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือว่า " เมื่อปรากฏว่ามีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร" ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจะเป็นผู้มีอำนาจ "ในการบังคับบัญชาข้าราชการ" ซึ่งจะเป็นการตัดทอนอำนาจรัฐบาลพลเรือนในการควบคุมทหาร
กอ.รมน. ถูกตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2509 ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายของคอมมิวนิสต์ แต่ กอ.รมน. ได้สูญเสียบทบาทและอิทธิพลไปหลังจากที่ได้มีการยกเลิกกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ.2544. พล.เอก สนธิ บุญรัตกลิน ผอ.รมน. มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพบกด้วย และเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารที่เรียกกันว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เป็นผู้ที่ผลักดันให้มีกฎหมายฉบับนี้. กอ.รมน. จะมีอำนาจในการห้ามการชุมนุม ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถาน และสั่งการให้มีการใช้กำลังทหารได้ ร่างกฎหมายยังได้ให้อำนาจ ผอ.รมน. ตั้งเจ้าพนักงานให้มีอำนาจในการจับกุม คุมขัง บุคคลใดๆ ก็ได้ ที่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ค้นตัวบุคคล ยานพาหนะ หรือที่อยู่อาศัยและยึดสิ่งของไว้เป็นพยานหลักฐาน แม้การจับจะต้องใช้หมายศาลแต่บุคคลอาจถูกคุมขังนานถึง 30 วัน โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา ซึ่งปกติจะขังได้เพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น
ร่างกฎหมายจะเป็นการส่งเสริมการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่โดยไม่ต้องถูกลงโทษ โดยกฎหมายกำหนดให้ การกระทำใดๆ ตามกฎหมายความมั่นคงนี้ได้รับการยกเว้นจากการถูกดำเนินคดี ทั้งทางแพ่ง อาญา และวินัย "หากเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และมีเหตุผลอันสมควร" นอกจากนี้"กฎหมายจะทำให้เกิดระบบที่ซ้ำซ้อนในการสอบสวน การจับกุม และการคุมขังบุคคลใดๆ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างกว้างขวาง บั่นทอนการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้เพียรสร้างสมมาเป็นเวลาหลายปี" ฮิคส์กล่าว "การที่จะผ่านกฎหมายเช่นนี้ออกมาในสภาวะที่ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเช่นนี้ นับว่าเป็นอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง" เขากล่าว
ทั้งนี้ หลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างกฎหมายเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนแล้ว ได้มีการส่งร่างกฎหมายไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ก่อนที่จะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาตินี้ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาหลังจากการรัฐประหาร ให้ทำหน้าที่นิติบัญญัติในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ซึ่งจะกำหนดให้มีขึ้นในปลายปีนี้ (23 ธันวาคม 2550)
คำถามที่ ๒ องค์กรสิทธิมนุษยชน
มองเรื่องนี้อย่างไร ?
26 มิถุนายน 2550. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและการสูญหายของบุคคล
โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จัดสัมมนาเรื่อง 'ชำแหละร่าง พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ....' ณ ห้องประชุม 101 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมสิทธิและเสรีภาพเพื่อประชาชน กล่าวว่า รัฐบาลก่อนเคยออกกฎหมาย 2 ฉบับที่เกี่ยวกับความมั่นคง
- กฎหมายแรกเป็นกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย มีที่มาจากการอ้างภัยสมัยใหม่ที่รัฐต้องเผชิญ
- ต่อมาก็ได้ออกกฎหมายอีกฉบับ คือ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) โดยเป็นสถานการณ์ที่ประเมินว่า สังคมไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่าง (ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ เร่งออกโดยฝ่ายบริหารเป็น พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับ)
ส่วนร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.... (พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน) นี้หากมองอย่างตรงไปตรงมาที่สุดคือ การขยายบทบาทให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองในบ้านเมืองในหลายๆ เรื่อง. เหตุผลพูดไว้ชัด อย่างใน มาตรา 9 ให้ตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และ มาตรา 10 ที่ให้มีหน้าที่ทั้งในภาวะบ้านเมืองปกติและไม่ปกติ ซึ่งต่างจากในอดีตที่จะต้องมาในรูปของกฎอัยการศึก หรือต้องประกาศพื้นที่ชัดเจนในภาวะไม่ปกติก่อน. เจตนาของกฎหมายจึงชัดเจนเหมือนกับในอดีตที่เคยให้ กอ.รมน. มีบทบาทสูงในการสู้ภัยคอมมิวนิสต์
ประการต่อมา ขอบเขตคำว่า"ภัยความมั่นคง" และนิยามของคำว่า"ภัยคุกคาม" ตาม พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในกว้างขวางมาก และเดิมทีก็มีกฎหมายรับรองในเรื่องความมั่นคงหมดแล้ว ซึ่งรวมไปถึงการก่อการร้ายด้วย เพียงแต่ใช้ตามปกติไม่ได้. พระชาบัญญัติฉบับนี้จึงเหมือนการเปิดโอกาสให้ทหารเข้ามาจัดการและเข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศ ผ่านการตั้ง กอ.รมน. ทั้งระดับภูมิภาคและระดับจังหวัด. การที่ระบุลงไปว่าความมั่นคงทั้งในระดับปกติและไม่ปกติ เดิมจะให้อำนาจนายกรัฐมนตรี แต่กฏหมายฉบับนี้ให้อำนาจ ผอ.รมน. สามารถสั่งการได้ มีอำนาจแต่งตั้งบุคคลได้ทันทีเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดเป็นอำนาจรัฐซ้อนรัฐ จนดูเหมือนจะมี 2 รัฐบาลในเวลาเดียวกัน
ประเด็นถัดมาคือ เรื่องอำนาจ ในมาตรา 24 ตาม ร่าง พ.ร.บ.นี้ ได้ให้อำนาจผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) ซึ่งก็คือผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยตำแหน่ง แบบสุดๆ เช่น หากเห็นว่ามีความไม่ปลอดภัยต่อความมั่นคงให้ทำหน้าที่ได้ทันที สามารถบังคับบัญชาหน่วยงานรัฐทุกหน่วยได้ แต่งตั้งบุคคลได้. นอกจากนี้ พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในยังให้อำนาจ ผบ.ทบ. ลิดรอนสิทธิประชาชนได้หลายเรื่อง เช่น ห้ามเดินทาง ห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามชุมนุมการเมือง ห้ามแสดงมหรสพ ห้ามโฆษณา ห้ามออกจากเคหะสถาน ให้เจ้าของกิจการรายงานประวัติลูกจ้างทั้งหมด หรือครอบครองสินค้าได้. กฎเหล่านี้สามารถออกได้ทันทีโดยคำวินิจฉัย ผบ.ทบ. ในส่วนของการใช้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมหรือเรียกมาควบคุมตัวได้ทันที การให้ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ยกเว้นการเข้าไปในเคหะสถาน
ในส่วนของอำนาจควบคุมตัวนั้น ถ้าสงสัยสามารถเรียกมาคุมตัวก่อนได้ภายใน 30 วัน โดยเรียกว่า ผู้ต้องสงสัย ซึ่งยังไม่ใช่ผู้ต้องหา โดยที่การเป็นผู้ต้องสงสัยไม่สามารถมีสิทธิอะไร ทั้งห้ามเยี่ยม ห้ามมีทนาย สรุปแล้วผู้ต้องสงสัยกลับมีสิทธิน้อยกว่าผู้ต้องหาเสียอีก. นายไพโรจน์ ยังได้ยกตัวอย่างมาตราอื่นๆ ตาม พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน ที่น่าเป็นห่วงอีก เช่น มาตรา 30, ผอ.รมน. สามารถเข้าแทรกแซงการสอบสวนได้ โดยสามารถเรียกข้อมูลการสอบสวนทางอาญาหรือเข้าฟังการสอบสวนก็ได้. หรือในมาตรา 31, ผอ.รมน. สามารถสั่งปล่อยได้ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายวินิจฉัยแทนศาลอันเป็นอำนาจตุลาการ นอกจากนี้ มาตรา 34 สามารถสั่งย้ายข้าราชการโดยอ้างความมั่นคงได้
ประเด็นสำคัญอีกประการที่นายไพโรจน์เป็นห่วงมาก คือ การที่ร่าง พ.ร.บ. นี้ เขียนไว้ว่าห้ามตรวจสอบโดยศาลปกครอง จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าคำสั่งที่ออกมานั้นชอบหรือไม่ ขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ?นอกจากนี้ การเขียนไว้ว่าห้ามตรวจสอบโดยศาลปกครองแล้ว ที่สำคัญกว่าคือ เจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตาม ร่าง พ.ร.บ. นี้ ไม่ต้องรับความผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย จึงเท่ากับให้อำนาจเจ้าหน้าที่สูงล้น และใช้คนเดียว แต่ไม่มีใครตรวจสอบได้ และสามารถมาแทนกลไกปกติได้ทั้งหมด จึงเป็นการท้าทายต่อหลักนิติธรรมในประเทศค่อนข้างสูง
นายไพโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน ขัดต่อหลักการ 3 เรื่อง
เรื่องแรก คือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารบ้านเมือง ถ้าถูกควบคุมเหมือนทุกวันนี้จะยิ่งลำบาก
เรื่องที่สอง ต่อมาคือขัดต่อหลักการกระจายอำนาจ แม้จะบอกว่ารวบอำนาจจำกัดเฉพาะเรื่องความมั่นคงแต่ขยายความค่อนข้างสูง เป็นการย้อนยุคให้อำนาจ ผบ.ทบ. สูงมาก และตรวจสอบไม่ได้ ดังนั้นรัฐสภาจึงไม่ควรออกกฎหมายในยุคนี้เพราะผ่านการตรวจสอบได้ยาก ถ้าจะออกควรไปออกในสมัยหน้าที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสามารถเปิดให้มีการถกเถียงมากกว่านี้เรื่องที่สาม คือต้องประเมินด้วยว่าเราใช้กฏหมายเดิมที่มีอยู่ไม่ได้ผลหรือ ทำไมต้องรวบอำนาจให้กองทัพบก และ กอ.รมน. ทั้งที่ กอ.รมน. น่าจะหมดไปตั้งแต่สมัยคอมมิวนิสต์สลายตัวแล้ว การทำเช่นนี้เหมือนกับการให้ที่ยืนกับคนกลุ่มหนึ่ง กำลังจะสร้างอำนาจซ้อนรัฐ ถ้ารัฐบาลสมัยหน้าอ่อนแอ ส่วนนี้จะมีอำนาจเหนือรัฐ
ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ได้อ่าน พ.ร.บ. ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในเปรียบเทียบกับประเทศ 4 ประเทศ คือ อเมริกา, มาเลเซีย, สิงคโปร์, และอิสราเอล. พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายใน เกิดมาจากทัศนคติของการกลัวภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ ซึ่งผ่านมา 4 ทศวรรษแล้ว คือเมื่อปี 1950 ในอเมริกา, ปี 1960 ในมาเลเซีย, ปี 1963 ในสิงคโปร์, และปี 1979 ในอิสราเอล. ส่วนในปัจจุบันคือเรื่องของการต้านการก่อการร้าย และหากดูในเนื้อหาแล้ว พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในของไทย เหมือนจะนำรูปแบบเดียวกับอิสราเอลมาใช้ แต่อิสราเอลมีกรณีฉนวนกาซ่าและเขตเวสแบงค์ แล้วไทยเรามีสถานการณ์เหมือนอิสราเอลหรือไม่
ส่วน พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในของมาเลเซีย สามารถให้ควบคุมตัวได้ 60 วัน แต่ผู้ใช้อำนาจคือมหาดไทย อย่างไรก็ตาม มีคนกว่า 1,000 คน ถูกจับด้วยอำนาจตาม พ.ร.บ. นี้ แต่สำหรับไทยเหมือนจะยกอำนาจให้กองทัพบกไปเลย. สำหรับสิงคโปร์ มี พ.ร.บ.ว่าด้วยความมั่นคงภายใน เนื่องจากการจับกุมคอมมิวนิสต์ และล่าสุดคือความกลัวภัยการก่อการร้าย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอาเจะห์และเจไอ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทยกลับไม่ได้มาจากความกลัวภัยก่อการร้าย แต่น่าจะมาจากความพยายามในทางการเมืองไทยเอง ซึ่งมีความพยายามจะออกกฎหมายแบบนี้มาหลายครั้ง หลังจากยกเลิก พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ แล้วต้องการให้มีกฎหมายอื่นมาแทน โดยก่อนหน้านี้ผ่านการถกมาแล้วว่า ไม่สามารถออกกฎหมายแบบนี้ได้เพราะขัดต่อสิทธิเสรีภาพ แต่สุดท้ายก็มาพยายามผลักดันกันในรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่ใช่ พ.ร.บ. มาทำหน้าที่ดูแลประเทศ แต่เป็นความพยายามที่จะรักษาโครงสร้าง กอ.รมน. ที่เคยใช้ปราบปรามคอมมิวนิสต์ และหาพื้นที่ให้ หลายคนจึงพูดว่าเป็นการฟื้นแนวคิดอมาตยาธิปไตย
ดร.นฤมล ยังกล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ. นี้มีหลายเรื่องกินเนื้อที่มากมาย การห้ามออกจากเคหะสถาน การห้ามมีมหรสพ ดูแล้วจะทำให้หลักการเรื่องเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็น การเดินทางถูกจำกัดไปโดยปริยาย นอกจากนี้ การนิยามเรื่องความมั่นคงของไทยนั้น ถ้าไม่เห็นด้วยกับรัฐก็ถือเป็นภัยความมั่นคงแล้ว. ร่างพ.ร.บ.นี้จึงไม่ถูกทั้งในแง่สิทธิเสรีภาพ ทั้งไม่มีความชอบธรรมในเรื่องที่มาของรัฐบาล
ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคง
คงก็อปปี้มาจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลายอย่าง แต่จุดที่ไม่เหมือนคือ การใช้ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก่อน
ซึ่งเป็นหลักการเช่นเดียวกับการใช้กฎอัยการศึก แต่สำหรับ พ.ร.บ. นี้ใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องประกาศอะไรทั้งสิ้น.
ผอ.รมน. จะมีอำนาจทั่วทั้งประเทศ. สำหรับประเด็นที่ ดร.ปริญญา แสดงความเป็นห่วงค่อนข้างมากได้แก่
มาตราที่ 36 ที่ระบุว่า ฟ้องศาลปกครองไม่ได้ และมาตรา 37 คือไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา
"นี่คือการกำจัดฝ่ายตุลาการออกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหาก พ.ร.บ. ฉบับนี้สามารถประกาศใช้ได้จริง
จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะร่าง พ.ร.บ. นี้ขัดกับมาตรา
3 เรื่องของหลักประกันสิทธิและเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะออกมาให้ประชาชนทำประชาพิจารณ์ในเรื่องของหลักประกันสิทธิและเสรีภาพ.
สมัย รสช. ยังไม่กระทำกันขนาดนี้ มันไม่สมควรที่รัฐจะออกกฏหมายเช่นนี้ เพราะมันไม่สอดคล้องกับวิถีทางประชาธิปไตย
ตอนยึดอำนาจก็บอกว่าเป้าหมายคือการปฏิรูปการเมืองไทย แต่นี่ไม่ใช่หลักการของประชาธิปไตยในหลักการของการปฏิรูป
เพราะฉะนั้น สนช.ต้องไม่รับร่างฉบับนี้ไปพิจารณา เพราะถ้าพูดแรงๆ นี่คือการสืบทอดอำนาจ
เพราะกำลังจะมีการเลือกตั้ง แต่ฝ่าย คมช.ยังต้องการสืบทอดอำนาจต่อไป" ดร.ปริญญา
ระบุ
นอกจากนี้ ยังกล่าวด้วยว่า ตามหลักการปกครองต้องแบ่งแยกอำนาจออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ เพื่อคุ้มครองสิทธิ แต่นี่เป็นการเอาฝ่ายตุลาการออกไปโดยสิ้นเชิง และเป็นอำนาจที่เกิดทันทีที่ พ.ร.บ. นี้มีผลบังคับใช้ ทั้งนี้การห้ามได้ก็คือการที่ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพ และหากการห้ามได้นั้นขึ้นกับ ผบ.ทบ. การต้องขอ ผบ.ทบ. มันก็คือเผด็จการแล้ว เนื่องจากการใช้สิทธิประชาธิไตย ประชาชนไม่ต้องขอใคร
ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า "เมื่อมีอำนาจตรงไหน สิทธิเสรีภาพของประชาชนก็จะหายไปตรงนั้น อำนาจกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนสวนทางเสมอ จริงอยู่ว่าการอยู่ร่วมกันในสังคมมันจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพบ้าง เช่น เจอไฟแดงก็ต้องหยุด แต่การจำกัดสิทธิเสรีภาพก็ต้องเป็นไปเพียงเท่าที่จำเป็นและประชาชนยินยอม โดยผ่านกระบวนการตรากฎหมาย หรือผ่านผู้แทนที่ปะชาชนเลือกเข้าไป แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ได้มาจากประชาชนเลย ดังนั้น สนช. จะไม่มีความชอบธรรมในการรับร่างฉบับนี้ไว้พิจารณา ถ้าจะจำกัดสิทธิเสรีภาพ, ประชาชนต้องยินยอม. อำนาจทำให้เสื่อม ไม่อยากให้กองทัพเสื่อม"
สมชาย หอมลออ
อดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ร่าง
พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในผ่านมติคณะรัฐมนตรี คงเป็นการกดดันเต็มที่จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
(คมช.) ต้องจับตาต่อไปว่า สนช. จะเป็นจำเลยด้วยหรือไม่ ทั้งนี้คนที่ดำรงตำแหน่งประธาน
คมช. อาจจะยังไม่มีอำนาจเท่า ผบ.ทบ. ซึ่งคือผู้ที่จะเป็น ผอ.รมน. ในอนาคตเสียอีก.
นายสมชาย กล่าวต่อว่า กฎหมายให้อำนาจ ผบ.ทบ. มาก แต่มีเสียงโต้จากฝ่ายมั่นคงว่า
อำนาจ ผอ.รมน. ไม่มากหรอก นายกรัฐมนตรีจะปลดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่มันหมายถึงว่าต้องเท่ากับปลด
ผบ.ทบ. ด้วย
ในขณะที่คณะกรรมการ กอ.รมน. ถึง 2 ใน 3 เป็นข้าราชการประจำ เช่น ปลัดกระทรวงต่างๆ
หรือเสนาธิการก็อยู่ในส่วนเลขาธิการ จึงเห็นชัดว่าเป็นการเสริมอำนาจอย่างเข้มแข็งให้ข้าราชการทหาร
รวมทั้งให้สามารถสั่งการข้าราชการพลเรือนได้ จนเหมือนกับให้กองทัพเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง
แต่เป็นพรรคนอกระบบเป็นรัฐซ้อนรัฐ เป็นอำนาจซ้อนอำนาจ และจะสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวเป็นอันมากในภายหลัง.
ทั้งนี้ คมช. พยายามจะใช้ผีระบอบทักษิณ เพื่อให้ประชาชนวางเฉยต่อการสืบทอดอำนาจเผด็จการ.
คมช. อยากเรียกร้องให้ประชาชนจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เรากำลังกำลังเจอเผด็จการตัวใหม่
เหมือนหนีเสือปะจระเข้โดย อ้างว่าเพื่อไม่ให้ฟื้นฟูระบอบทักษิณขึ้นมาอีก
อีกหลักการคือ การที่ศาลที่ถูกตัดอำนาจไป ในขณะที่ปกติข้าราชการก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่กว้างขวางอยู่แล้ว และแทบไม่มีสักรายที่ถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา จนเกิดวัฒนธรรมที่ข้าราชการชั่วๆ มากมายลอยนวลเหนือประชาชน อย่างกรณีนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่หายตัวไป. กรณีในภาคใต้ หรือการที่นักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน 30 กว่าคนเสียชีวิตไปในรัฐบาลทักษิณ ก็ไม่ดำเนินคดีเอาผิดได้. ร่าง พ.ร.บ. นี้จะไปเสริมวัฒนธรมข้าราชการที่ทำผิดได้โดยไม่ต้องรับโทษ ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย ซึ่งจะซ้ำเติมสถานการณ์สิทธิมนุษยชน. นอกจากนี้ นายสมชาย ยังขอให้ สนช. ระงับขั้นตอนการดำเนินการและให้ถอนเรื่องออกจากคณะกรรมการกฤษฎีกา หากไม่ทำตาม ขอเรียกร้องประชาชนให้ร่วมกันคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ และถ้าไม่ได้รับการดำเนินการถอนเรื่องออกมา คงต้องคัดค้านรัฐบาลและ คมช. ด้วย
พิภพ ธงไชย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
(ครป.) กล่าวว่า ถ้ากฎหมายนี้ผ่านจะมีรัฐซ้อนรัฐในประเทศ รัฐธรรมนูญก็หมดความหมาย
ดังนั้น ถ้ากฎหมายนี้ผ่านก็ควรร่วมกับกลุ่มอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ (มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ส่วนทาง คมช. ก็ขอให้ออกรัฐธรรมนูญของตัวเองออกมา
ขอให้พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ประธาน คมช. ทำให้สุดๆ ไปเลย อย่าออมชอม เพราะจะได้สู้กันสุดๆ
เนื่องจากขณะที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังใช้ธงในการสู้ตามรัฐธรรมนูญ
2540 อยู่ ก็เข้ามาแย่งธงของพันธมิตรฯ ไป
นายพิภพ ระบุว่า การออกกฎหมายความมั่นคงภายใน เป็นการสืบทอดอำนาจที่เนียนกว่าการกระทำของ
พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเลวร้ายยิ่งกว่า มาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตต์.
ทหารมีคนดีและไม่ดี แต่เราไม่สามารถตรวจสอบงบลับทหาร หรือ กอ.รมน. เลย ทั้งที่ใช้งบประมาณมหาศาลมาก.
ได้คุยกับ พล.อ. คนหนึ่งซึ่งเป็นที่ปรึกษา กอ.รมน. เขาบอกว่า งบประมาณที่ให้
กอ.รมน. ปกติก็สูญเสียไป 40 -60 เปอร์เซ็นต์ เหมือนบอกชาวบ้านจะให้วัวไปเยียวยา
5,000 ตัว กับเงินอีก 5,000 บาท เขาก็จะให้แต่เงิน วัวจะไม่ได้เลย
นายพิภพ กล่าวต่อไปว่า คำว่า"ความมั่นคง" ต้องตีความใหม่ ความมั่นคงนั้นเกิดจากความไม่สมดุลของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ และอำนาจประชาชน แต่กฎหมายนี้ประชาชนหายไปเลย ดังนั้นถ้ากฎหมายนี้ผ่าน สนช. คิดว่าควรสู้กันในทางสัญลักษณ์อย่างจริงจัง ตั้งแต่คณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทั้งคณะควรลาออก เพื่อเป็นการประท้วง. ส่วน สนช. คนใดที่อ้างประชาธิปไตยก็ควรลาออกเช่นกัน เช่น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, รศ.สุริชัย หวันแก้ว, หรือ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็นต้น
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องทำแบบเดียวกัน แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ต้องออกมาหรือลาออกประท้วงด้วย และถ้ารวมตัวไม่สำเร็จ สุดท้ายต้องปฏิเสธรัฐธรมนูญ 2550 เพราะถ้ารับกฎหมายนี้แล้วรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความหมาย มันไปละเมิดสิทธิประชาชนหมด. อำนาจตุลาการ 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตยไม่สามารถตรวจสอบได้เลย เรื่องนี้เครียดกว่าเรื่องการรัฐประหารอีก เพราะเป็นการรัฐประหารยึดอำนาจระยะยาวมาก เป็นการต่ออำนาจโดยไม่สิ้นสุด อำนาจจะอยู่ที่ ผบ.ทบ., ศาลต่างๆ จะไร้ความหมาย การกระทำของ กอ.รมน. ถือว่ายกเว้นหมด
โดยสรุปไม่มีอะไรที่เลวร้ายในการยึดอำนาจครั้งนี้ นอกจาก ร่าง พ.ร.บ. นี้ ทหารเองเคยได้รับการปรบมือจากการยึดอำนาจ แต่คราวนี้จะถูกสาปแช่งและต่อต้านด้วย ต้องสู้กันทุกระดับ ต้องต้านทานเชิงสัญลักษณ์ให้มากขึ้น อยากขอให้คณะรัฐมนตรีถอนร่างออกมาจากกฤษฎีกา แล้วไปยื่นต่อสภาสมัยหน้า เพื่อให้เกิดการถกเถียงกัน ที่ดีที่สุดคือให้มาจากสภาของประชาชน
คำถามที่ 3 ช่วยยกตัวอย่างบางมาตราใน
พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ... ?
มาตรา 9 ให้จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
เรียกชื่อโดยย่อว่า "กอ.รมน." เป็นหน่วยงานในสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
โดยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน มีหน้าที่รับผิดชอบบังคับข้าราชการ
การดำเนินงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และอนุมัติแผนแม่บทหรือแผนปฏิบัติการ
ในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
มาตรา 10 ให้กองอำนวยการรักษาความั่นคงภายในมีบทบาทเป็นองค์กรกลาง
ในการอำนวยการและประสานการปฏิบัติ ในการนำนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงภายในของรัฐ
และวาระเร่งด่วนแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติ
การแบ่งงานภายในของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในให้จัดทำเป็นกฏกระทรวง
มาตรา 24 เมื่อปรากฏว่ามีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในมีภารกิจในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร
และให้มีอำนาจบังคับบัญชาหน่วยงานของรัฐ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน
แก้ไข ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง การกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
การฟื้นฟู และการช่วยเหลือประชาชน
ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลเป็นเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร
และอาจมีคำสั่งแต่งตั้งคณะบุคคล หรือบุคคลเป็นที่ปรึกษาในการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน
หรือเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความั่นคงในราชอาณาจักร
ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในอาจมอบหมายให้ผู้อำนวยรักษาความมั่นคงภายในภาคหรือผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด หรือกรุงเทพมหานครเป็นผู้ใช้อำนาจตามวรรคสองแทน และให้ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง
ให้หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุน หรือกระทำการใดๆ เมี่อได้รับการร้องขอจากเจ้าพนักงาน
มาตรา 25 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อให้การกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายแรงมากขึ้น ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในมีอำนาจออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้
(1) ห้ามบุคคลใดนำอาวุธที่กำหนดในกฏกระทรวงออกนอกเคหสถาน
(2) ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
(3) ห้ามมิให้การชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ห้ามการแสดงมหรสพ ห้ามการโฆษณา เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเป็นการชักชวนหรือยั่วยุให้มีการกระทำความผิดตามกฏหมาย
(4) ห้ามให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน หรือบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น
(5) ให้บุคคลใดนำอาวุธที่กำหนดในกฏกระทรวงมามอบไว้เป็นชั่วคราวตามความจำเป็น โดยการส่งมอบ การรับมอบ และการดูแลรักษาอาวุธดังกล่าว ให้กำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติงานที่เห็นสมควร
(6) ให้เจ้าของกิจการ หรือผู้จัดการ หรือผู้รับผิดชอบในกิจการ หรือการจัดการทุจริต ซึ่งมีพนักงานหรือลูกจ้าง หรือบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการ หรือการจัดการธุรกิจ จัดเก็บประวัติ และแจ้งการย้ายเข้า และการย้ายออก การเลิกจ้าง และแจ้งพฤติการณ์ของบุคคลดังกล่าวให้เจ้าพนักงานทราบ
(7) ออกคำสั่งให้การซื้อขายใช้ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งอาวุธ สินค้า เวชภัณฑ์เครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งอาจใช้กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรต้องรายงาน หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน หรือปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกำหนด
(8) ออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือตำรวจระงับเหตุการณ์ร้ายแรงหรือควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบโดยด่วน ทั้งนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ให้มีอำนาจเช่นเดียวกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้ โดยการใช้อำนาจหน้าที่ของทหาร จะกระทำได้เพียงใดให้เป็นไปตามเงื่อนไข และเงื่อนเวลาที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกำหนด แต่ต้องไม่เกินกว่ากรณีที่มีการใช้กฏอัยการศึก
ข้อกำหนดตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือเงื่อนไขในการปฏิบัติของเจ้าพนักงาน หรือมอบหมายให้เจ้าพนักงานกำหนดพื้นที่ และรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม เพื่อมิให้มีการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุก็ได้
เมื่อการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรยุติลง ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประกาศยกเลิกข้อกำหนดตามมาตรานี้โดยเร็ว
มาตรา 26 เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้มีประสิทธิภาพ ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในออกประกาศให้เจ้าพนักงานมีอำนาจดังนี้
(1) จับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นภัยความมั่นคงในราชอาณาจักร ทั้งนี้ เท่าที่มีเหตุจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้บุคคลนั้นกระทำการหรือร่วมมือกระทำการใดๆ อันจะทำให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการระงับการกระทำเช่นว่านั้น
(2) ดำเนินการปราบปรามบุคคล กลุ่มบุคคล หรือกลุ่มองค์กรที่ก่อให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
(3) ออกหนังสือสอบถาม หรืออกคำสั่งเรียกบุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าพนักงาน หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบเอกสาร หรือหลักฐานใด เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
(4) ตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะ เคหสถาน สิ่งปลูกสร้าง หรือสถานที่ใดๆ ตามความจำเป็นเมื่อมีเหตุสงสัยตามสมควรว่ามีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด หรือได้ใช้ หรือจะใช้ในการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
(5) เข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้น เมื่อมีเหตุสงสัยว่ามีบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะก่อให้เกิดการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรหลบซ่อนตัวอยู่ หรือมีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด หรือได้ใช้ หรือจะใช้ในการกระทำเช่นว่านั้น หรืออาจใช้เป็นพยานหลักฐานลงโทษผู้กระทำความผิดได้ เมื่อมีเหตุอันเชื่อได้ว่าหากไม่รีบดำเนินการบุคคลนั้นจะหลบหนี หรือทรัพย์สินจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทำลาย หรือทำให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม
(6) ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน เอกสาร หรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
มาตรา
27 ในการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัยตามประกาศในมาตรา 26 (1)
ให้เจ้าพนักงานร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจ หรือศาลอาญาเพื่อขออนุญาตดำเนินการ
เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลแล้วให้เจ้าพนักงานจับกุม และควบคุมตัวได้ไม่เกินเจ็ดวัน
และต้องควบคุมไว้ในสถานที่ที่กำหนดไว้ซึ่งไม่ใช่สถานีตำรวจ ที่คุมขังทัณฑสถาน
หรือเรือนจำ โดยจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวต่อเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในพระราชอาณาจักร
ให้เจ้าพนักงานร้องขอต่อศาล เพื่อขยายระยะเวลาการควบคุมตัวต่อได้อีกคราวละเจ็ดวัน
แต่รวมระยะเวลาควบคุมตัวทั้งหมดต้องไม่เกินกว่าสามสิบวัน เมื่อครบกำหนดแล้วหากจะควบคุมตัวต่อไปให้ดำเนินการตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้เจ้าพนักงานจัดทำรายงานเกี่ยวกับการจับกุม และ
ควบคุมตัวบุคคลนั้นเสนอต่อศาลที่มีคำสั่งอนุญาตตามวรรคหนึ่ง และจัดทำสำเนารายการนั้นไว้
ณ ที่ทำการของเจ้าพนักงานเพื่อให้ญาติของบุคคลนั้นสามารถขอดูรายงานดังกล่าวได้โดยตลอดระยะเวลาที่ควบคุมตัวบุคคลนั้นไว้
การร้องขอต่ออนุญาตต่อศาลตามวรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการขอออกกฏหมายอาญาตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 30
เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข่าวสาร หรือป้องกันการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร
ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด
หรือผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานคร มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานร่วมฟังการสอบสวน
หรือเรียกสำนวนการสอบสวนคดีอาญามาตรวจดูได้
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง หากอยู่ในอำนาจการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในแต่งตั้งเจ้าพนักงานร่วมฟังการสอบสวน
หรือเรียกสำนวนการสอบสวนคดีอาญามาตรวจดูได้
มาตรา 31
ในกรณีที่มีการกระทำอันเป็นภัยความมั่นคงในราชอาณาจักร ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้ต้องหาคนใดได้กระทำความผิดดังกล่าวเพราะหลงผิด
หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีเหตุที่ไม่สมควรดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคนใด ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนสอบสวนสำหรับผู้ต้องหาคนนั้น
พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
ถ้าผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเห็นชอบด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวนว่าไม่สมควรดำเนินคดีกับผู้ต้องหา
ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องหาปฏิบัติแทนการถูกฟ้องคดีโดยให้ผู้ต้องหาคนดังกล่าวเข้ารับการอบรม
ณ สถานที่ที่กำหนดเป็นเวลาไม่เกินหกเดือน และจะกำหนดเงื่อนไขให้มารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นครั้งคราวตามที่กำหนดภายหลังการอบรมแล้วด้วยก็ได้
แต่จะกำหนดระยะเวลาที่ให้มารายงานตัวเกินหนึ่งปีไม่ได้
การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องหาปฏิบัติแทนการฟ้องร้องคดีตามวรรคสอง จะกระทำได้ต่อเมื่อผู้ต้องหายินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว และเมื่อผู้ต้องหาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วนแล้ว จะฟ้องเป็นผู้ต้องหาสำหรับการกระทำที่ต้องหานั้นอีกไม่ได้
มาตรา 36
ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งหรือการกระทำตามพระราชบัญัญัตินี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฏหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
และกฏหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
มาตรา 37 เจ้าพนักงาน และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้
ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ในการระงับ
หรือป้องกันการกระทำผิดกฏหมายหากเป็นการกระทำที่สุจริตไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ
หรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ
ตามกฏหมายว่าด้วยความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
สำหรับรายละเอียดครบทุกมาตรา
ผู้สนใจสามารถคลิกดูได้ที่
http://midnightuniv.tumrai.com/midnight2544/0009999625.html
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นักศึกษา
สมาชิก และผู้สนใจบทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ก่อนหน้านี้ หรือถัดจากนี้สามารถคลิกไปอ่านได้โดยคลิกที่แบนเนอร์
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail :
midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1300 เรื่อง หนากว่า 25000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน:
จากชายขอบถึงศูนย์กลาง
โครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และนักวิชาการอิสระ-สถาบัน
ปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ดูเหมือนจะเป็นยูโธเปีย(utopia)
สำหรับประเทศศูนย์กลาง
แต่ขณะเดียวกันกระแสโลกาภิวัตน์นี้กลับกลายเป็นยูโธปลอม(dystopia) ของบรรดาประเทศชายขอบทั้งหลาย
เนื่องจากได้นำมาซึ่งการสูญเสีย และกดขี่ทางด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งทางด้านความยุติธรรม ความเท่าเทียม อิสรภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะมองจากมิติทางด้านการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และกฎหมาย ฯลฯ
โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เกิดขึ้นมาจาก
การเล็งเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ที่กำลังคุกคามผู้คนและพยายามที่จะแสวงหาตัวบท
พร้อมทั้งกรณีตัวอย่างในที่ต่างๆ มานำเสนอ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โลก
ที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน และทางออกที่หลากหลายในประเทศชายขอบต่างๆ