1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
ในระดับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษก็ยังพยายามแสดงท่าทีให้การสนับสนุนผู้ประท้วง และถือว่านั่นคือการเรียกร้องเสรีภาพโดยชอบธรรม ทั้งๆ ที่มีการทำลายสถานที่ราชการและตึกรามบ้านช่องมากมาย แทนที่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่จะฮึกเหิมขึ้น กลับส่งผลให้พวกเขาปลีกตัวออกห่างพฤติกรรมที่เหล่ามหาอำนาจให้การสนับสนุน เพราะอิมามโคมัยนี เคยกล่าวเตือนสติพวกเขาไว้ ว่า : "หากวันใดศัตรูยกย่องเชิดชูเรา ให้เราพิจารณาให้จงดีว่า ผิดพลาดจุดใดอันเป็นเหตุให้ศัตรูระรื่น แล้วให้แก้ไขเสีย" หรือ "...หากวันใดอเมริกายกย่องเรา วันนั้นคือวันที่เราต้องจัดงานไว้อาลัย" คุตบะฮ์วันศุกร์ของท่านผู้นำ เผาผ้ากำมะหยี่เขียวเป็นเถ้าถ่าน พฤติกรรมของบางคนเปรียบเสมือนการถูตะเกียงให้ยักษ์อเมริกาและอังกฤษออกมา...
16-07-2552
(1744)
ประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัย:
หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอิหร่าน มิ.ย.๒๕๕๒
มองต่างมุม
เหตุจลาจลในอิหร่าน: การปฏิวัติกำมะหยี่จอมปลอม
อนุชา เกียรติธารัย : เขียน
นักศึกษาปริญญาโท คณะประวัติศาสตร์อิสลาม (เอกประวัติศาสตร์ร่วมสมัยชาติมุสลิม)
มหาวิทยาลัยนานาชาติ ญามิอ์ มุศตอฟา เมืองกุม ประเทศอิหร่าน
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
บทความชิ้นนี้ได้รับมาจากคุณ
อนุชา เกียรติธารัย นศ.ปริญญาโท คณะประวัติศาสตร์อิสลาม
(เอกประวัติศาสตร์ร่วมสมัยชาติมุสลิม) ซึ่งศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศมุสลิมในทุกภูมิภาค
เช่น ตะวันออกกลาง, เอเชียกลาง, เอเชียใต้,อัฟริกาเหนือ, ตะวันออกกลาง, ตะวันออกเฉียงใต้
ณ มหาวิทยาลัยนานาชาติ ญามิอ์ มุศตอฟา เมืองกุม ประเทศอิหร่าน. อนุชา เกียรติธารัย
ในฐานะ
ที่คุ้นเคยกับประเทศนี้ ได้ให้ภาพต่างมุมจากสื่อตะวันตกที่ประโคมข่าวเกี่ยวกับผู้ประท้วงผลของ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีฯ โดยละเลยความสมบูรณ์ที่จะนำเสนอข่าวอีกด้านหนึ่งในเชิงปริมาณ
และคุณภาพที่เท่ากัน นอกจากนี้เขายังได้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าสนใจ
ซึ่งโยงไปถึง
การปฏิวัติกำมะหยี่ หรือการปฏิวัติสีจอมปลอมที่ได้รับการสนับสนุนโดยชาติตะวันตก
มองต่างมุมจลาจลในอิหร่าน:
การปฏิวัติกำมะหยี่จอมปลอม ประกอบด้วยหัวข้อดังนี้
- ความนำ ภารกิจแกะรอยสื่อตะวันตก
- เกิดอะไรขึ้นในอิหร่าน มิถุนายน ๒๕๕๒
- หุ้นส่วนจากต่างแดน: สถาบัน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
- วิจารณ์ภารกิจก่อการปฏิวัติกำมะหยี่
- คุตบะฮ์วันศุกร์ของท่านผู้นำ เผาผ้ากำมะหยี่เขียวเป็นเถ้าถ่าน
(บทความนี้จัดอยู่ในหมวด
"ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยอิหร่าน")
สนใจส่งบทความเผยแพร่ ติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน:
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ ยินดีสละลิขสิทธิ์เพื่อมอบเป็นสมบัติ
ทางวิชาการแก่สังคมไทยและผู้ใช้ภาษาไทยทั่วโลก ภายใต้เงื่อนไข้ลิขซ้าย (copyleft)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๗๔๔
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๗.๕ หน้ากระดาษ A4 โดยไม่มีภาพประกอบ)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัย:
หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอิหร่าน มิ.ย.๒๕๕๒
มองต่างมุม
เหตุจลาจลในอิหร่าน: การปฏิวัติกำมะหยี่จอมปลอม
อนุชา เกียรติธารัย : เขียน
นักศึกษาปริญญาโท คณะประวัติศาสตร์อิสลาม (เอกประวัติศาสตร์ร่วมสมัยชาติมุสลิม)
มหาวิทยาลัยนานาชาติ ญามิอ์ มุศตอฟา เมืองกุม ประเทศอิหร่าน
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
ความนำ
เมื่อได้เห็นการ์ตูนล้อเลียนสถานการณ์อิหร่านในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งวาดรูปผู้นำสูงสุดอิหร่านสวมระเบิดแทนผ้าโพกศีรษะ
มีสีหน้าหวาดกลัว ใกล้ๆ กันนั้นมีประธานาธิบดีอะฮ์มาดีเนญอดยืนถือป้ายซึ่งมีข้อความว่า
" ชนะเลือกตั้งแต่ไม่ชนะม็อบ " จึงรู้สึกฉงนในใจว่าคนไทยให้ความสำคัญต่อสถานการณ์อิหร่านถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทั้งที่การเมืองไทยก็มีประเด็นลัอเลียนมากมาย แต่เลือกเหตุการณ์ไม่สงบในอิหร่านมานำเสนอแทน
เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาที่ได้รับการนำเสนอในเรื่องต่างๆ ซึ่งสวนทางกับความสนใจของคนไทยที่น้อยคนนักจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
จึงเริ่มสังหรณ์ใจว่าคนไทยสนใจหรือว่าสื่อต้องการนำเสนอในสิ่งที่ตนต้องการกันแน่?
ภารกิจแกะรอยสื่อตะวันตก
เป็นที่ทราบกันดีว่าสื่อในเมืองไทยพึ่งพาเนื้อหาข่าวที่สื่อตะวันตกนำเสนอในฐานะสื่อกระแสหลักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ฉะนั้นจำเป็นต้องแกะรอยไปถึงสื่อตะวันตกเพื่อทราบให้ได้ว่า เพราะเหตุใดจึงเกิดแรงกระเพื่อมมาถึงเมืองไทยเช่นนี้
เมื่อเข้าสู่มหาสมุทรข่าวสารที่นำเสนอโดยสื่อตะวันตก ก็พบกับความผิดปกติวิสัยในหลายกรณีด้วยกัน
เป็นต้นว่า สื่ออังกฤษอย่าง
BBC สาละวนอยู่การรายงานความเคลื่อนไหวในอิหร่านอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแถลงการณ์หรือความเคลื่อนไหวของผู้ประท้วงผลการเลือกตั้ง
อันนำไปสู่ชัยชนะของประธานาธิบดีอะฮ์มาดีเนญอดอีกสมัยหนึ่ง ที่มากไปกว่านั้นคือ
BBC ทีวีภาคภาษาฟารซี (อิหร่าน ) เริ่มการแพร่ภาพก่อนการเลือกตั้งไม่นาน ทั้งที่ภาษาอื่นๆ
ที่สำคัญกว่ายังไม่ได้รับการอนุมัติ CNN ของอเมริกาก็เกาะติดสถานการณ์ไม่แพ้กัน
นอกจากนี้ยังมี VOA ( Voice of America) ภาษาฟารซี ตลอดจนช่องดาวเทียมภาษาฟารซีมากมายที่ดำเนินการโดยผู้นิยมใน
เรซอ พะฮ์ละวี ( ลูกชายของอดีตชาห์อิหร่าน ) ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับเงินอัดฉีดจากงบประมาณที่สภาคองเกรสอเมริกาอนุมัติทุกปี
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างสื่อยักษ์ใหญ่เหล่านี้ก็คือ พยายามแพร่ภาพผู้ประท้วงเป็นหลัก
กระทั่งเคยนำภาพผู้เดินขบวนสนับสนุนประธานาธิบดีอะฮ์มาดีเนญอดไปบิดเบือนให้ผู้ชมเข้าใจผิดว่า
เป็นภาพผู้สนับสนุนนายมูซาวี
ในส่วนของสื่อตะวันตก สามารถสรุปเนื้อหาข่าวที่นำเสนอและได้รับการวิเคราะห์วิจารณ์ดังนี้
1. มีการโกงการเลือกตั้ง
2. ผู้นำสูงสุดไม่เป็นกลาง และถือข้างประธานาธิบดีอะฮ์มาดีเนญอด
3. หน่วยงานความมั่นคงของอิหร่านสังหารประชาชน
4. ประชาชนปฎิเสธระบอบการปกครองแบบรัฐอิสลาม
เกิดอะไรขึ้นในอิหร่าน
มิถุนายน ๒๕๕๒
ท่านผู้อ่านคงอยากทราบว่า " แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในอิหร่านกันแน่ "
ประเด็นปัญหาคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอิหร่านที่จัดให้มีขึ้นในวันที่ 13
มิถุนายน 2552. ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สมัคร 4 คนด้วยกัน
1. มะฮ์มูด อะฮ์มาดีเนญอด
2. มีรฮูเซน มูซาวี
3. มะฮ์ดี คะรูบี
4. มุฮ์ซิน เรซออี
อย่างไรก็ตาม
การขับเคี่ยวระหว่างสองคนแรกเป็นที่จับตามากที่สุด แนวคิดที่แตกต่างกันของ อะฮ์มาดีเนญอด
และ มูซาวีทำให้แต่ละคนมีกลุ่มผู้สนับสนุนที่แตกต่างกัน
ภาพซ้าย: ซ้ายบนสู่ขวาล่าง.. อะฮ์มะดีเนญอด , มูซาวี , คารูบี , เรซอvu / ภาพขวา: ประธานาธิบดี มะฮ์มูด อะฮ์มาดีเนญอด
มะฮ์มูด อะฮ์มาดีเนญอด คือประธานาธิบดีผู้เรียบง่ายสมถะ แต่แข็งกร้าวต่อปัญหาคอร์รัปชั่น และมีภาพลักษณ์ที่ทรงอิทธิพลในของเวทีโลก ส่วน มีรฮูเซน มูซาวี โดดเด่นในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีในยุคของท่านอิหม่ามโคมัยนี และเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายการบริหาร และการต่างประเทศของอะฮ์มาดีเนญอดอย่างเผ็ดร้อน ส่งผลให้เขาเป็นขวัญใจของผู้ที่เห็นว่า อะฮ์มาดีเนญอด เป็นผู้บริหารที่สุดโต่ง แข็งกร้าว และไม่ฟังเสียงวิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ในการดีเบทสดทางโทรทัศน์ระหว่างสองคนนี้ อะฮ์มาดีเนญอดชูคำขวัญการปราบปรามคอร์รัปชั่นในประเทศและสร้างเสริมศักดิ์ศรีในเวทีโลก โดยกล่าววิจารณ์มูซาวีว่ามีความพยายามที่จะให้ร้ายป้ายสีรัฐบาลของเขามาตลอด และว่ามูซาวีคือหนึ่งในสามอดีตผู้นำที่ผนึกกำลังเพื่อหวังโค่นเขาและแนวทางของเขา สามผู้นำดังกล่าวคือ มูซาวี , รัฟซันญานี , คอตามี. ส่วนมูซาวี เน้นวิจารณ์ผลงานรัฐบาลมากกว่าจะชูนโยบายอันเป็นรูปธรรม เขาวิจารณ์อะฮ์มาดีเนญอดว่าเป็นคนทำให้ประเทศชาติตกต่ำในสายตาของชาวโลก ไม่จริงใจในการแก้ปัญหา
ก่อนวันเลือกตั้ง ผลการสำรวจความคิดเห็นชาวอิหร่านจากโพลหลายสำนักชี้ว่า ความนิยมของอะห์มะดีเนญอดนำหน้ามูซาวี[1] สอดคล้องกับโพลของสำนัก terrorfreetomorrow ร่วมกับ New America foundation ที่สอบถามทางโทรศัพท์จากประชาชน1,000 คนใน 30 จังหวัด ระหว่างวันที่ 10-20 พ.ค.2009 มีอัตราความคลาดเคลื่อนอยู่ที่ +/- 3.1 เปอร์เซ็นต์ ที่นำเสนอใน นสพ.วอชิงตัน โพสท์ ฉบับวันที่ 15 มิ.ย. 2009 และในเว็บไซต์ นสพ.การ์เดียน (อังกฤษ) ซึ่งระบุว่า อะห์มะดีเนญอดมีคะแนนนิยม 34 % และมูซาวีมีคะแนนนิยม 14 % ส่วนที่เหลือ 27 % ยังไม่ตัดสินใจ [2]
ในที่สุดวันเลือกตั้งก็มาถึง
มูซาวีประกาศชัยชนะทั้งที่ศูนย์อำนวยการการเลือกตั้งยังไม่ยุติการนับคะแนน และคะแนนของเขายังตามหลังอะฮ์มาดีเนญอด
ซึ่งตามกฎหมายอิหร่าน ผลคะแนนเป็นทางการคือผลคะแนนประกาศโดยศูนย์อำนวยการการเลือกตั้ง
และได้รับการยืนยันจากสภาผู้พิทักษ์แล้วเท่านั้น
ในที่สุด ผลการเลือกตั้งที่ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งประกาศก็คือ :
- ยอดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 39,165,191 คน หรือ 85 % จากยอดผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
- นายมะฮ์มูด อะห์มะดีเนญอด 24,527,516 เสียง หรือ 63.62%
- นายมีร ฮุเซน มูซาวี 13,216,411 เสียง หรือ 33.75 %
- นายมุห์ซิน เรซออี 678,240 เสียง หรือ 1.73 %
- นายมะห์ดี คะรูบี 333,635 เสียง หรือ 0.85 %
รวมบัตรเสีย 409,389 หรือ 1.04 % ของบัตรเลือกตั้งทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เมื่อผลคะแนนเริ่มทิ้งห่างกันจนไม่อาจคาดหวังชัยชนะของมูซาวีได้
มูซาวีเริ่มกล่าวหาการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าไม่โปรงใส และมีการโกงการเลือกตั้งอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่าเพราะเหตุใดจึงมั่นใจเช่นนี้ เขาตอบว่า เพราะทีมงานของเขายืนยันจากผลสำรวจแล้วว่า
เขาต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย !
ซ้าย: มูซาวี และ ซะฮ์รอ ระฮ์นะวัรด์ ภรรยา ขณะใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างอารมณ์ดี
- ขวา: มูซาวีกล่าวปราศัยท่ามกลางผู้สนับสนุน
เหตุผลอีกข้อของเขาคือ จำนวนบัตรเลือกตั้งของบางพื้นที่มีมากกว่าจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อย่างไร เหตุผลนี้ฟังดูน่าเชื่อถือสำหรับประเทศอื่นๆ อย่างเช่น ประเทศไทย ที่ผู้ใช้สิทธิต้องกลับไปใช้สิทธิที่ภูมิลำเนาของตน แต่เหตุผลดังกล่าวถือว่าไม่มีน้ำหนักพอสำหรับการเลือกตั้งของอิหร่าน เพราะผู้ใช้สิทธิชาวอิหร่านสามารถใช้สิทธิได้ที่หน่วยเลือกตั้งใดก็ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า ฉะนั้นในเมืองท่องเที่ยวจึงมีความเป็นไปได้ว่า จะมีจำนวนบัตรเลือกตั้งมากกว่าจำนวนผู้มีสิทธิมาเลือกตั้งในทะเบียนราษฎร์
ข้อกล่าวหาของมูซาวีอาจมองได้ว่าเป็นสิทธิของเขาที่จะเชื่อเช่นนั้น
แต่เมื่อพิจารณาอย่างตรงไปตรงมาก็จะพบข้อพิรุธบางอย่าง ทำให้สงสัยว่า นี่คือเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์
หรือว่าเป็นฉากหนึ่งของแผนที่ถูกวางไว้ล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะเหตุใดฝ่ายของมูซาวีจึงพูดถึงการโกงการเลือกตั้งก่อนการเลือกตั้งจะมีขึ้น
มูซาวีตั้งคณะกรรมการพิทักษ์คะแนนเสียงของตนก่อนการเลือกตั้งเพื่ออะไร
และทั้งๆ ที่เขากล่าวหารัฐบาลอย่างดุเดือดว่าเป็นฝ่ายโกงการเลือกตั้ง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถนำเสนอพยานหลักฐานใดๆ ที่ชี้ชัดถึงเรื่องดังกลาวได้เลย มีเพียงความพยายามกล่าวอ้างและสร้างกระแสให้มวลชนเชื่อ และคล้อยตามโดยไม่ต้องถามหาหลักฐาน เพราะการที่จะกล่าวหาว่ามีการโกงคะแนนเสียงเกินสิบล้านเสียง คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวหาว่าเป็นการโกงเลือกตั้งที่กว้างขวางและชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าหลักฐานการโกงย่อมมีให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพิจารณาจากจำนวนผู้สังเกตุการณ์ของมูซาวีที่ประจำอยู่ตามหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศ มีจำนวนมากกว่าผู้สังเกตุการณ์จากผู้สมัครอื่นๆ บวกกับการจับตาของคณะกรรมการที่มูซาวีจัดตั้งขึ้น เพื่อพิทักษ์คะแนนเสียงของตนเอง หากมีการโกงในระดับสิบล้านเสียง พวกเขาย่อมทราบและรีบรายงานทันที ในขณะที่ทั้งผู้สังเกตการณ์และคณะกรรมการดังกล่าวมิได้ทักท้วงใดๆ จนจบการเลือกตั้งและประกาศผลเลือกตั้งแล้ว
เปรียบได้กับการแข่งขันกีฬา หากนักกีฬาไม่เชื่อถือในความเป็นกลางของกรรมการ เขาย่อมไม่ลงแข่งให้เหนื่อยเปล่า แต่ถ้าหากเขาตัดสินใจลงแข่งขันแล้ว ก็ต้องเคารพในการตัดสินของกรรมการ แม้ส่วนตัวจะไม่เชื่อตามนั้นก็ตาม หากนักกีฬาคนใดลงแข่งขันและถูกตัดสินในฝ่ายคู่ต่อสู้ เขามีสิทธิท้วงติงได้ตามช่องทางที่กำหนด แต่หากเขาแพ้การแข่งขันกลับโวยกรรมการและกดดันให้แข่งขันใหม่ นักกีฬาคนนี้มักจะถูกปรามาสว่า "ขี้แพ้ชวนตี"
ตรงกันข้ามกับกรณีที่ฮิซบุลลอฮ์
พ่ายการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในเลบานอน ทั้งที่ฝ่ายตนเชื่อว่ามีการโกงการเลือกตั้ง
แต่พวกเขาก็ยอมรับผลเลือกตั้ง หรือกรณีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาในยุคที่บุชขับเคี่ยวกับอัลกอร์
มีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับความโปร่งใส แต่เมื่อตัดสินถึงที่สุดแล้ว อัล กอร์
ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้จะมีคะแนนเสียงเทียบเท่าหรือมากกว่าจอร์จ ดับเบิ้ลยู
บุช ก็ตาม ในประวัติการเลือกตั้งในอิหร่านที่จัดขึ้นเกือบ 30 ครั้ง ซึ่งทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายปฏิรูปผลัดกันครองอำนาจมาโดยตลอด
ยังไม่เคยมีใครตั้งข้อสงสัยถึงความโปร่งใสเช่นนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม หากมูซาวีกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวก็คงไม่มีใครตำหนิอะไร
แต่เขาประกาศจุดยืนเด่นชัดที่จะคัดค้านผลการเลือกตั้ง ซ้ำยังระดมผู้สนับสนุนของตนออกมาเดินขบวนประท้วงนับแสนคน
มีการทำลายสถานที่ราชการ ธนาคาร บ้านเรือน และรถยนต์ของประชาชนเกิดขึ้น การประท้วงค่อยๆ
แปรเปลี่ยนเป็นการก่อจลาจล เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาที่ก่อนการเลือกตั้งมีท่าทีพินอบพิเทาต่ออิหร่านกลับฮึกเหิมขึ้น
และรู้สึกว่าตนมีอำนาจต่อรองมากยิ่งขึ้น
ซ้าย: การเดินขบวนเปลี่ยนเป็นการก่อจราจลเมื่อตำรวจสลายการชุมนุม / ขวา: สัญลักษณ์สีเขียวเคียงข้างการเผาทำลายข้าวของ
สื่อตะวันตกประโคมข่าวและแพร่ภาพเพียงการทุบตีผู้ประท้วงโดยหน่วยปราบจลาจล แต่ไม่เคยเสนอภาพที่ผู้ประท้วงทำร้ายประชาชน และทำลายข้าวของ. รัฐบาลตะวันตกและอิสราเอลแสดงท่าทีเป็นผู้พิทักษ์สิทธิ และเป็นห่วงเป็นใยผู้ประท้วงทันที สอดรับกับการเสนอข่าวของสื่อกระแสหลัก ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่เคยมีส่วนในการคุกคามสิทธิมนุษยชนในกรณี คุกอบูฆุร็อยย์, กวนตานาโม, ชาวอัฟกานิสถาน, อิรัก, และฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด
เหตุการณ์บานปลายจนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตประมาณ
20 คน สถานการณ์ดังกล่าวกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ดังที่อิสราเอลประกาศให้การสนับสนุนผู้ประท้วง
และพร้อมจะเผด็จศึกอิหร่านทางการทหาร แต่มูซาวีก็ยังยืนยันจุดยืนเดิมของตนและโยนความรับผิดชอบให้รัฐบาล
ท่าทีเช่นนี้ของมูซาวีไม่ไช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด
เพราะในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน อันเป็นช่วงที่อิหร่านยังสาละวนกับปัญหาสงครามกับอิรัก
และต้องการความสงบและเอกภาพ มูซาวีกลับประกาศลาออกอย่างกะทันหันเนื่องจากความไม่ลงรอยกันกับ
ส.ส.ในสภาในบางประเด็นแม้แต่ประธานาธิบดีในสมัยนั้น (อายะตุลลอฮ์ อลี คอเมเนอี)
เองยังเพิ่งจะทราบข่าวนี้จากหน้าหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น จดหมายลาออกถูกส่งตรงถึงอิมามโคมัยนี
แทนที่จะต้องผ่านการอนุมัติจากประธานาธิบดีเสียก่อน
อิมามโคมัยนีตำหนิพฤติกรรมของเขาโดยตอบว่า "สิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ อย่างน้อยควรจะแจ้งให้ฉันหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงทราบล่วงหน้า ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจเช่นนี้.. ในขณะที่ประชาชนผู้อาจหาญกำลังส่งลูกหลานไปพลีชีพเพื่อผดุงไว้ซึ่งอิสลาม มันถูกกาละเทศะแล้วหรือที่ท่านจะแสดงความไม่พอใจและขอลาออกเช่นนี้... เราทุกคนต้องขอความคุ้มครองจากพระองค์ และในยามที่บันดาลโทสะ เราจะต้องไม่ทำอะไรให้ศัตรูอิสลามสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้เด็ดขาด... ประชาชนของเราเผชิญเรื่องทำนองนี้มามากนับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามเป็นต้นมา การเคลื่อนใหวเช่นนี้จะไม่มีผลใดๆ ต่อแนวทางการปฏิวัติออิสลามแห่งอิหร่านอย่างแน่นอน" [3]
ซ้าย: มูซาวี(ขวา) สมัยเป็นนายกรัฐมนตรียุคอิมามโคมัยนี
/ ขวา: จีน ชาร์ป มันสมองของสถาบันอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
อย่าลืมว่าผู้ที่ตอบจดหมายลาออกของมูซาวีนี้ คือคนเดียวกันกับที่เขียนจดหมายถึงกอร์บาชอฟแห่งโซเวียตในยุคที่ยังรุ่งเรืองอยู่ จดหมายดังกล่าวเตือนกอร์บาชอฟให้ตระหนักถึงจุดจบอันใกล้ของสหภาพโซเวียตอันเกิดจากระบอบคอมมิวนิสม์ที่ปฏิเสธพระเจ้า กาลเวลาพิสูจน์ความถูกต้องของวิสัยทัศน์ของท่านเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายไปตามคำพยากรณ์ ในกรณีของมูซาวีก็เช่นกัน ประหนึ่งว่าอิมามโคมัยนีเพิ่งจะเปล่งคำพูดประโยคดังกล่าวในวันนี้ การเคลื่อนใหวของนายมูซาวี แม้สมมุติว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่อย่างไรเสีย เขาไม่มีสิทธิจะปล่อยให้ขบวนการของตนกลายเป็นพาหนะให้เหล่ามหาอำนาจและศัตรูของการปฏิวัติขึ้นขี่และกุมบังเหียนได้อย่างที่เป็นอยู่
หุ้นส่วนจากต่างแดน: สถาบัน
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
เมื่อปี 2546 เกิดการปฏิวัติในประเทศจอร์เจีย ประธานาธิบดีไม่อาจต้านทานการปฏิวัติรูปแบบใหม่ที่ปราศจากความรุนแรงนี้ได้
ซึ่งในภายหลังได้ถูกขนานนามว่า"การปฏิวัติกำมะหยี่"( Velvet Revolution)(เพื่อสื่อถึงความนุ่มนวลดุจกำมะหยี่)
(*) หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ "การปฏิวัติสี" (Colour Revolution) เพราะมักใช้สีเป็นสัญลักษณ์
การปฏิวัติรูปแบบนี้เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศ อาทิเช่น ยูเครน เวเนซูเอลา ฯลฯ
ที่น่าแปลกใจก็คือ การปฏิวัติกำมะหยี่เหล่านี้ มีสถาบัน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์อยู่เบื้องหลังเสมอ!
(*) สนใจอ่านเกี่ยวกับตัวอย่าง"การปฏิวัติกำมะหยี่"คลิกอ่านเรื่อง "การปฏิวัติกำมะหยี่ของประชาชาติเชคฯ" สมเกียรติ ตั้งนโม: http://midnightuniv.tumrai.com/midnight2545/document95097.html
เดือนกันยายน 2003 สถาบันนี้แนะนำให้ฝ่ายค้านของจอร์เจีย ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง และให้พร้อมใจกันแสดงพลังคัดค้าน อันนำไปสู่การคว่ำรัฐบาลในที่สุด. เดือนตุลาคม 2004 จีน ชาร์ป (Gene Sharp) มันสมองของสถาบันดังกล่าว กุมบังเหียนฝ่ายค้านในเวเนซูเอลาเพื่อล้มรัฐบาลนายฮูโก ชาร์เวซ แต่ทำไม่สำเร็จ ครั้งนั้น เขากำชับฝ่ายค้านว่า "ต้องสร้างความคลางแคลงใจเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง และต้องวางแผนกดดันให้ประธานาธิบดียอมลาออกให้ได้ [4]"
วิจารณ์ภารกิจก่อการปฏิวัติกำมะหยี่
แตรี เมซซอง นักหนังสือพิมพ์ชาวฝรั่งเศส กล่าวหลังวิจารณ์ภารกิจก่อการปฏิวัติกำมะหยี่โดยสถาบันดังกล่าวว่า
"...สุดท้ายเราคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะจับตาการขุนนักสร้างสถานการณ์ในอิหร่านโดยสถาบัน
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" เมซซองยืนยันว่าสถาบันดังกล่าวร่วมมือกับนาโต้และซีไอเอในการฝึกนักปฏิวัติในประเทศต่างๆ
โดยที่เอ็ดเวิร์ด บี แอทเคสัน อดีต ผอ.ซีไอเอ ได้กำหนดให้สถาบันดังกล่าวเป็นผู้คุมเครือข่ายลับในการแทรกแซงประเทศต่างๆ
[5] สรุปคือ สถาบันดังกล่าวทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของนาย มีรซา อัสลัม เบก อดีตผู้บัญชาการกองทัพปากีสถาน ผ่านทางวิทยุในวันที่ 15 มิถุนายน 2552 ว่า "มีหลักฐานยืนยันว่า CIA ได้ใช้จ่ายงบกว่า 400 ล้านดอลลาร์ในอิหร่าน เพื่อโอบอุ้ม"การปฏิวัติสี"ที่ไร้ประสิทธิผลภายหลังการเลือกตั้ง"[6] น่าสังเกตว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวถูกนำมาใช้โดยมูซาวี เมื่อเขาประกาศชัยชนะหลังปิดหีบเลือกตั้งประมาณหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มนับคะแนนไปไม่นาน ทว่าเขาจัดแจงตัดสินโดยเสร็จสรรพว่า "ผมชนะการเลือกตั้งแล้ว และหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ประกาศชัยชนะดังนี้ แสดงว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น" !? การถือตนเป็นจุดศูนย์กลางเพื่อวัดคนทั้งโลกเช่นนี้ เป็นการหักล้างคำขวัญเลือกตั้งของเขาในการเชิดชูกฏหมายอย่างไม่ต้องสงสัย
การใช้สีเป็นสัญลักษณ์ก็เป็นสิ่งที่สถาบัน จอร์จ โซรอส (Open Society Institute and Soros Foundations Network) นำมาใช้ในการคว่ำประเทศอดีตสหภาพโซเวียต ที่ยูเครนใช้สีส้ม, เคอร์กิสถานใช้สีชมพู, ส่วนฝ่ายค้านโดยการนำของนายมูซาวีใช้สีเขียว [7] คงเพราะต้นสายปลายเหตุเช่นนี้กระมังที่ มักจะเห็นข้อความต่อต้านรัสเซียเคียงข้างผ้าผูกข้อมือสีเขียวในหมู่ผู้ประท้วงในอิหร่านเสมอ
ชายโพกผ้ากับการชูข้อความ "รัสเซีย อิหร่านไม่มีวันให้อภัย"
อลาสเตร์ ครู้ก เขียนในหนังสือพิมพ์
แอลเอ ไทมส์ ว่า "ชาวอิหร่านจำนวนมากเชื่อว่า เหล่าผู้นำชาติตะวันตกล้ำเส้นตายอิหร่าน
ด้วยการปลุกระดมเสียงคัดค้านของผู้สนับสนุนมูซาวี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายความชอบธรรมของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน
ตลอดจนดำเนินการเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอย่างละมุนละม่อม" [8]
โดยทั่วไปแล้ว "การปฏิวัติกำมะหยี่"จะต้องมีสองปัจจัยในการขับเคลื่อนและเติบโตเสมอ
นั่นก็คือ "มวลชน"และ"สื่อ" ซึ่งเมื่อสื่อเริ่มสร้างกระแส
ก็จะเกิดมวลชนสนับสนุน และมวลชนก็จะสร้างข่าวให้สื่อนำเสนอเพื่อที่จะเพิ่มจำนวนมวลชนไปเรื่อยๆ
ไม่ต่างจากปฏิกริยาลูกโซ่ เพื่อกดดันให้กลไกรัฐเป็นอัมพาตและยอมต่อข้อเรียกร้องในที่สุด
สอดคล้องกับที่มูซาวีได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ เขาเชื่อว่า คลื่นมวลชนที่ร่วมประท้วงการเลือกตั้งจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจอย่างกว้างขวาง และจะกดดันผู้นำสูงสุด(อายะตุลลอฮ์ อลี คอเมเนอี)ให้ยอมอ่อนท่าทีต่อข้อเรียกร้องของประชาชน เมื่อถูกถามว่า หากท่านแพ้เลือกตั้งจะทำอย่างไร? เขาตอบว่า "การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นแล้ว ชัยชนะจากคะแนนเสียงเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่อีกส่วนจะเดินหน้าต่อไปและจะไม่มีวันถอย"[10] ซึ่งก็เป็นการไขข้อสงสัยที่ว่า เหตุใด มูซาวีจึงยังไม่หยุดแม้ผู้นำสูงสุดออกมาปฏิเสธข้อเรียกร้องอันไร้หลักฐานในการคัดค้านผลเลือกตั้งของเขา
The Man
Who Could Beat Ahmadinejad: Mousavi Talks to TIME
Iranian presidential candidate Mir-Hossein Mousavi during an interview with
TIME
ศ.ดร. ฮะมีด เมาลานา หนึ่งในผู้วางรากฐานสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้กล่าวว่า "การปฏิวัติเหล่านี้จะสัมฤทธิ์ผลก็ต่อเมื่อ
1. ประเทศนั้นๆ มีความเป็นเผด็จการของผู้นำสูง
2. ประเทศนั้นๆ ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวทางความคิดของตนเอง นอกจากลัทธิทุนนิยมและสังคมนิยม
ซึ่งเมื่อพิจารณากรณีของอิหร่านจะพบว่า อิหร่านอุดช่องโหว่ทั้งสองประการไว้แล้ว ประเด็นแรก อิหร่านเคารพเสียงประชาชนเป็นอย่างยิ่ง สังเกตจากถัวเฉลี่ยการเลือกตั้งหนึ่งครั้งต่อปี. ประเด็นที่สอง อิหร่านมีแนวคิดอิสลามและพึ่งพาแนวคิดนี้ในการบริหารจัดการ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทุนนิยมและสังคมนิยมที่จะเปิดช่องให้นักปฏิวัติกำมะหยี่แฝงกายเข้ามาในอนาคต
นอกจากมหาอำนาจตะวันตกจะมีส่วนร่วมในการปฏิวัติกำมะหยี่ในฐานะผู้วางแผนและสั่งการแล้ว
ในแวดวงบันเทิงก็ยังมีการสอดแทรกประเด็นอิหร่านเข้าไปเช่นกัน จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นชื่อของ
อะฮ์มะดีเนญอด และ มูซาวี ปรากฏในภาพยนตร์ ทรานสฟอร์เมอร์ ภาคสอง [10]
ที่สำคัญ ในระดับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษก็ยังพยายามแสดงท่าทีให้การสนับสนุนผู้ประท้วง
และถือว่านั่นคือการเรียกร้องเสรีภาพโดยชอบธรรม (ทั้งที่มีการทำลายสถานที่ราชการและตึกรามบ้านช่องมากมาย)
แทนที่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่จะฮึกเหิมขึ้น กลับส่งผลให้พวกเขาปลีกตัวออกห่างพฤติกรรมที่เหล่ามหาอำนาจให้การสนับสนุน
เพราะอิมามโคมัยนีเคยกล่าวเตือนสติพวกเขาไว้ว่า "หากวันใดศัตรูยกย่องเชิดชูเรา
ให้เราพิจารณาให้จงดีว่า ผิดพลาดจุดใดอันเป็นเหตุให้ศัตรูระรื่น แล้วให้แก้ไขเสีย"
หรือ "หากวันใดอเมริกายกย่องเรา วันนั้นคือวันที่เราต้องจัดงานไว้อาลัย"
[11]
คุตบะฮ์วันศุกร์ของท่านผู้นำ เผาผ้ากำมะหยี่เขียวเป็นเถ้าถ่าน
พฤติกรรมของบางคนเปรียบเสมือนการถูตะเกียงให้ยักษ์อเมริกาและอังกฤษออกมาเริงระบำ
และแสดงอาการดีใจอย่างออกหน้าออกตา ยักษ์ใหญ่เหล่านี้รีบปูพรมกำมะหยี่สีเขียวเพื่อต้อนรับมวลชนมหาศาลที่สนับสนุนมูซาวี
พลางนึกภูมิใจและรู้สึกคุ้มค่ากับเวลาและทุนรอนที่เสียไปในการถักทอกำมะหยี่ผืนนี้ด้วยความปราณีต
แต่ท้ายที่สุด พรมกำมะหยี่สีเขียวก็ต้องไหม้กลายเป็นเถ้าธุลี และยักษ์เหล่านั้นก็รีบกลับเข้าตะเกียงแทบไม่ทันด้วยเหตุผลเดียว
นั่นก็คือ คุตบะฮ์วันศุกร์ของท่านผู้นำสูงสุด อายะตุลลอฮ์ ซัยยิด อลี คอเมเนอี!
ท่านแสดงภาวะผู้นำและแสดงท่าทีเป็นกลางระหว่างผู้สนับสนุนมูซาวีและอะฮ์มะดีเนญอด และตักเตือนทั้งสองฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา คำเตือนของท่านครอบคลุมไปถึงประธานาธิบดีอะฮ์มะดีเนญอด ที่กล่าวพาดพิงบุคคลที่สามเมื่อครั้งที่ดีเบทกับมูซาวี และยังเตือนว่าฝ่ายสนับสนุนผู้ชนะเลือกตั้งเอง ก็ไม่ควรตอบโต้การเดินขบวนของฝ่ายมูซาวีด้วยวิธีเดียวกัน อันจะเป็นการประจันหน้ากันอย่างไม่รู้จบ
แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่ได้รับการเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นของท่านก็คือ ไม่มีทางที่ท่านจะก้มหัวต่อการกดดันให้กระทำการฝ่าฝืนกฏหมายโดยอาศัยพลังมวลชนเด็ดขาด
เหล่านี้คือคุตบะฮ์ของท่านผู้นำโดยสังเขป:
บทพิสูจน์ว่าประชาชนต้องการใคร คือคะแนนเสียงในหีบบัตร มิใช่การออกมาเดินขบวนบนท้องถนน
ถ้าภายหลังจากการเลือกตั้งผ่านไป ทั้งสองฝ่ายต่างชักชวนพลพรรคให้ออกมาเดินขบวนบนท้องถนน
ถ้าเช่นนั้นแล้วจะมีการเลือกตั้งไปเพื่ออะไร? การใช้กำลังคุกคามตามท้องถนนหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว
ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติวิธีการเช่นนี้ เป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ที่เพ้อฝันว่า
การใช้วิธีกดดันบนท้องถนน จะสามารถบีบคั้นให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองยอมจำนน อย่าลืมว่าการบีบบังคับให้เป็นไปตามอำเภอใจโดยผิดกฎหมายนั้น
คือการเริ่มต้นใช้อำนาจเผด็จการ ปัญหาสำคัญของศัตรูคู่แค้นของอิหร่านก็คือ จนถึงขณะนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้จักประชาชาติอิหร่าน
พวกเขาคิดว่าที่นี่คือ "ประเทศจอร์เจีย" ที่จะปฏิวัติกำมะหยี่ได้ อเมริกาไม่มีสิทธิมาอบรมสั่งสอนปัญหาสิทธิมนุษยชนในอิหร่าน"
ในตอนท้าย ท่านกล่าวพรรณาถึงอิมามมะฮ์ดีไว้ว่า:
"โอ้ สัยยิด (นาย) ของข้าฯ
โอ้ เมาลา (ผู้ปกครอง) ของข้าฯ
ข้าฯ มีเพียงชีวิตที่ไร้ค่า
มีร่างกายที่พิการ (มือของท่านพิการจากแรงระเบิดของศัตรู ในขณะที่ท่านกำลังกล่าวคุฏบะฮฺวันศุกร์ หลังการปฏิวัติอิสลาม = ผู้แปล)
มีเกียรติอันน้อยนิด
ที่ท่านมอบทั้งหมดนี้แด่ข้าฯ
ที่ข้าฯ พร้อมยอมพลีอุทิศแด่การปฏิวัติและแด่ท่าน
โอ้ สัยยิด (นาย) ของเรา
โอ้ เมาลา (ผู้ปกครอง) ของเรา
โปรดดุอาอ์ให้เราด้วยเถิด
เพราะการปฏิวัติเป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน"[12]
หลังการคุตบะฮ์ของผู้นำสูงสุด ละครเรื่องกำมะหยี่สีเขียวที่ตั้งใจจะให้เป็นมหากาพย์ ก็จำต้องถึงกาลอวสานก่อนเวลาที่กำหนดไว้ อเมริกาและยุโรปเพิ่งประจักษ์ว่า ประชาชนชาวอิหร่านยังยึดมั่นในระบอบวิลายะตุลฟะกีฮ์ (สิทธิการปกครองโดยนักการศาสนา) อย่างไม่เสื่อมคลาย
เพราะในแนวคิดของอิมามโคมัยนี
อำนาจวิลายะตุลฟะกีฮ์มาจากเบื้องบนในฐานะตัวแทนอิมามที่จำเป็นต้องภักดีในทางศาสนา
แต่อำนาจของประธานาธิบดี, ส.ส.,หรือนายกรัฐมนตรีนั้น มาจากเบื้องล่างในฐานะตัวแทนประชาชนที่ตั้งให้ทำหน้าที่แทนตน
หากจะต้องขัดแย้งกัน แน่นอนว่าประชาชนย่อมให้ความเคารพต่อผู้นำทางศาสนาอย่างแน่นอน
และนี่คือสิ่งที่ตะวันตกไม่เคยเข้าใจ และดำเนินนโยบายผิดพลาดมาโดยตลอด
ในอารมณ์ที่สื่อตะวันตกเริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับความคุ้มค่าของเม็ดเงินที่ทุ่มไปกับการนำเสนอข่าวสหายกำมะหยี่เขียว
ทันใดนั้น ระฆังช่วยชีวิตก็ดังขึ้น การตายของไมเคิล แจ็คสัน เป็นช่องทางให้สื่อเหล่านั้นย่องกลับไปเลียแผลเงียบๆ
ส่วนบรรดาผู้นำชาติตะวันตกก็กำลังสังหรณ์ใจว่าอิหร่านจะโต้กลับอย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็เป็นที่รู้กันดีในหมู่พวกเขาว่า
ถ้าอิหร่านไม่ให้ความร่วมมือ กิจการใดๆ ในตะวันออกกลางโดยเฉพาะในอิรัก เลบานอน
อัฟกานิสถาน ก็ไม่มีทางบรรลุผลอย่างแน่นอน ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุดก็คือ
หากอิหร่านไม่เอาชีวิตทหารของตนเข้าแลกเพื่อสกัดกั้นยาเสพติดจากอัฟกานิสถาน ยาเสพติดหนึ่งในสามของโลกจะไหลทะลักเข้าสู่ยุโรปและอเมริกาและทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
มีรซา อัสลัม เบก อดีตผู้บัญชาการกองทัพปากีสถาน ยืนยันถึงบทบาทของอิหร่านในภูมิภาคว่า
"หากปากีสถานและอัฟกานิสถานสามารถประสานความร่วมมือกับอิหร่านได้ แน่นอนว่าอเมริกาจะต้องถอนสมอจากภูมิภาคนี้
โดยเฉพาะอัฟกานิสถานอย่างไม่ต้องสงสัย [13]
ชัดเจนแล้วว่าในอนาคต
เราคงเห็นกำมะหยี่สีเขียวในพิพิธภัณฑ์ได้เพียงที่เดียว. เมื่อหวลรำลึกถึงประโยคประวัติศาสตร์ของอิมามโคมัยนี
ที่มีต่อนายมูซาวีที่ว่า "การเคลื่อนใหวเช่นนี้จะไม่มีผลใดๆ ต่อแนวทางการปฏิวัติออิสลามแห่งอิหร่านอย่างแน่นอน"
ในที่สุดการพยากรณ์ของอิมามโคมัยนีก็เป็นจริงอีกครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
[1] http://en.wikipedia.org/wiki/Iranian_presidential_election,_2009#Opinion_polls
[2] http://www.guardian.co.uk/commentisfree/cifamerica/2009/jun/15/iran-election-polling
http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2009/06/14/AR2009061401757.html
http://www.terrorfreetomorrow.org/upimagestft/TFT%20Iran%20Survey%20Report%200609.pdf
[3] http://www.esteghamat.ir/pages.asp?id=3173
[4] http://www.venezuelanalysis.com/analysis/3413
[5] http://www.voltairenet.org/article30032.html
[6] http://counterpunch.com/roberts06162009.html
[7] Colour Revolution ใน Wikipedia
[8] http://www.latimes.com/news/opinion/la-oe-crooke12-2009jul12,0,294349.story
[9] http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1904343,00.html
[10] เขียนที่กำแพงว่า"มะฮ์มูด"และ "มีร ฮุเซน" อันเป็นชื่อของอะฮ์มะดีเนญอดและมูซาวี ในฉากที่ตัวละครคนหนึ่งกำลังโทรศัพท์หลังจากเพิ่งผ่านด่านในอิยิปต์ /Transformer2
[11] http://www.sobhesadegh.ir/1388/0401/sadegh.htm
[12] บางส่วนจากคำแปลโดย สายธารพิสุทธิ์ ใน http://www.islamichomepage.com
[13] http://www.presstv.ir/detail.aspx?id=98200§ionid=351020401
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
สารบัญเนื้อหา
7 I สารบัญเนื้อหา
8
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail
: midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1700 เรื่อง หนากว่า 35000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com