1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
นักเขียนพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทุกคนรู้แต่ไม่รู้ว่าตัวพวกเขารู้ เพื่อสำรวจถึงความรู้นี้ และจ้องมองมันเจริญงอกงาม เป็นสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลิน ผู้อ่านกำลังเข้าเยี่ยมเยือนโลกใบหนึ่งซึ่งคุ้นเคยและมหัศจรรย์ในเวลาเดียวกัน เมื่อนักเขียนขังตัวเองไว้ในห้องหลายต่อหลายปีเพื่อขัดเกลางานฝีมือ - เพื่อสร้างสรรค์โลกใบหนึ่ง - ถ้าเขาใช้บาดแผลอันลึกลับในฐานะจุดเริ่มต้น ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาก็กำลังถ่ายทอดศรัทธาอันยิ่งในตัวมนุษยชาติ ความเชื่อมั่นของผมมาจากความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทั้งมวลคล้ายคลึงกับคนอื่นๆ ซึ่งคนทั้งหลายล้วนมีบาดแผลเหมือนกันกับผม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเข้าใจ วรรณกรรมที่แท้ทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากช่วงวัยเด็กนี้ ความแน่นอนอันเต็มไปด้วยความหวังที่ผู้คนทั้งมวลมีความคล้ายคลึงกันและกัน (คัดมาจากบทความ)
10-08-2552 (1755)
Nobel
Lecture: The Nobel Prize in Literature 2006
My
Father's Suitcase: กระเป๋าเดินทางของพ่อผม (Orhan Pamuk)
รศ. สมเกียรติ ตั้งนโม: แปล
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
ต้นฉบับคำบรรยายในโอกาสการได้รับรางวัลโนเบล
สาขาวรรณคดีปี ๒๐๐๖ นี้
นำมาจากเว็บไซต์ nobelprize.org ซึ่งในปีดังกล่าว นักประพันธ์ชาวเตอร์กีช นาม
ออร์ฮาน พามุก ได้รับเกียรติเป็นผู้ได้รับรางวัลดังกล่าว ซึ่งโดยธรรมเนียมปฏิบัติ
ผู้ได้รับ
รางวัลโนเบลสาขาใดก็ตาม จะได้รับคำเชิญให้แสดงคำบรรยายในสาขานั้น
สำหรับ ออร์ฮาน พามุก
ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณคดี เขาได้เตรียมคำบรรยายในหัวข้อ
"กระเป๋าเดินทางของพ่อผม" ซึ่งได้พูดถึงความเป็นมาในชีวิตของเขา สำหรับการเป็นนักเขียน
พามุก มีพ่อที่คอยให้กำลังใจและครั้งหนึ่งพ่อเขาเคยมีความปราถนาที่จะเป็นนักเขียน
และต้องใช้
เวลาอยู่กับตัวเองในดินแดนที่ห่างไกลเพื่อขังตัวเองอยู่ในห้องและเขียน ทั้งหมดที่ถูกเขียนได้รับการ
บรรจุลงในกระเป็าเดินทางใบเล็ก และได้ถูกส่งมอบให้กับพามุก...
(บทความนี้จัดอยู่ในหมวด
"วรรณกรรมปริทัศน์")
สนใจส่งบทความเผยแพร่ ติดต่อมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน:
midnightuniv(at)gmail.com
บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา
ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้รักษาเนื้อความตามต้นฉบับเดิมมากที่สุด
เพื่อนำเสนอเนื้อหาตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ กองบรรณาธิการเพียงตรวจสอบตัวสะกด
และปรับปรุงบางส่วนเพื่อความเหมาะสมสำหรับการเผยแพร่ รวมทั้งได้เว้นวรรค
ย่อหน้าใหม่ และจัดทำหัวข้อเพิ่มเติมสำหรับการค้นคว้าทางวิชาการ
บทความทุกชิ้นที่เผยแพร่บนเว็บไซต์แห่งนี้ ยินดีสละลิขสิทธิ์เพื่อมอบเป็นสมบัติ
ทางวิชาการแก่สังคมไทยและผู้ใช้ภาษาไทยทั่วโลก ภายใต้เงื่อนไข้ลิขซ้าย (copyleft)
บทความมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๗๕๕
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๑๔ หน้ากระดาษ A4 โดยไม่มีภาพประกอบ)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Nobel
Lecture: The Nobel Prize in Literature 2006
My
Father's Suitcase: กระเป๋าเดินทางของพ่อผม (Orhan Pamuk)
รศ. สมเกียรติ ตั้งนโม: แปล
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความวิชาการนี้
สามารถ download ได้ในรูป word
Orhan
Pamuk: ออร์ฮาน พามุก (สุนทรกถา-รางวัลโนเบลสาขาวรรณคดี ๒๐๐๖)
The Nobel Prize in Literature 2006
http://nobelprize.org/nobel_prizes/literature/laureates/2006/pamuk-lecture_en.html
Nobel Lecture
December 7, 2006
My Father's Suitcase: กระเป๋าเดินทางของพ่อผม
สองปีก่อนการถึงแก่กรรมของพ่อ ท่านได้มอบกระเป๋าเดินทางเก่าๆ ใบหนึ่งให้ ซึ่งภายในบรรจุงานเขียนต่างๆ
ของท่าน ต้นฉบับและสมุดบันทึก เป็นที่เข้าใจว่าเป็นเรื่องตลกธรรมดา เรื่องล้อเลียนน่าหัวเราะต่างๆ
ท่านบอกกับผมว่าต้องการให้อ่านสิ่งเหล่านี้หลังจากที่ท่านได้จากไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่การถึงแก่กรรมของท่านนั่นเอง
"ให้ดูเท่านั้น"' ท่านกล่าว มองดูมันโดยไม่ต้องขวยอาย "ดูว่ามีอะไรข้างในที่เธอสามารถเอาไปใช้ได้ บางทีหลังจากที่ฉันจากไปแล้ว เธออาจจะคัดเลือกและนำมันไปตีพิมพ์ก็ได้"
พ่อร่วมอยู่ในการศึกษาของผม ถูกรายรอบไปด้วยหนังสือ พ่อกำลังมองหาที่ที่จะวางกระเป๋า เดินถอยหน้าถอยหลังคล้ายชายคนหนึ่งซึ่งปรารถนาที่จะกำจัดตัวเองจากภาวะอันเจ็บปวด ในที่สุด ท่านก็นำมันไปวางที่มุมห้องว่างที่ดูเงียบสงบมุมหนึ่ง มันเป็นช่วงขณะที่เคอะเขินที่เราไม่เคยลืม แต่เมื่อเวลาผ่านไปและเราได้หวนกลับมาสู่บทบาทต่างๆ ตามปกติอีกครั้ง ดำเนินชีวิตไปอย่างง่ายๆ เรื่องตลกของเรา การล้อเลียนบุคลิกผู้คนต่างๆ และรู้สึกผ่อนคลาย เราพูดคุยกันดังที่เราทำเช่นนั้นเสมอ เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไรในชีวิตประจำวัน และปัญหาต่างๆ ทางการเมือง ซึ่งไม่มีวันจบสิ้นของตุรกี ความสุ่มเสี่ยงในความล้มเหลวทางธุรกิจส่วนใหญ่ของพ่อ โดยที่ท่านไม่รู้สึกเสียใจมากมายอะไรนัก
ผมจำได้ว่าวันนั้นหลังจากที่พ่อไปแล้ว ผมใช้เวลาหลายวันเดินกลับไปกลับมาผ่านกระเป๋าใบดังกล่าวโดยมิได้แตะต้องแต่อย่างใด ผมออกจะคุ้นเคยกับมันไปแล้วกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ซึ่งทำด้วยหนังสีดำ รูปร่างกลม และถูกล็อค พ่อจะใช้กระเป๋าใบนี้ในการเดินทางสั้นๆ และบางครั้งก็ใช้ใส่เอกสารไปทำงาน ผมยังจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก หลังจากพ่อกลับมาจากการเดินทาง ผมจะเปิดกระเป๋าใบนี้และค้นหาสิ่งของข้างในจนกระจุยกระจาย และได้กลิ่นโคโลจ์นและต่างประเทศ กระเป๋าเดินทางใบนี้คือเพื่อนที่คุ้นเคย เป็นความทรงจำที่เปี่ยมพลังในวัยเด็กของผม อดีตของตัวเอง แต่มาถึงตอนนี้ผมไม่สามารถสัมผัสมันได้ ทำไม? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นเพราะน้ำหนักอันลึกลับที่มันบรรจุอยู่ภายในนั่นเอง
ผมกำลังพูดถึงความหมายของน้ำหนักนี้ มันคือสิ่งที่คนๆ หนึ่งได้สร้างสรรค์ขึ้น เมื่อเขาเก็บตัวเขาเองอยู่ในห้อง นั่งลงที่โต๊ะ และปลีกตัวอยู่ ณ มุมห้องหนึ่งเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดของเขา นั่นคือ ความหมายของวรรณกรรม
เมื่อผมสัมผัสกับกระเป๋าเดินทางของพ่อ ผมยังคงไม่อาจนำตัวเองไปเปิดมันได้ แต่ผมรู้แน่ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน สมุดบันทึกเหล่านั้น ผมเห็นพ่อเขียนเรื่องราวต่างๆ เป็นครั้งคราวจากทั้งหมด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินเกี่ยวกับน้ำหนักที่อยู่ข้างในจนเอียดของกระเป๋าใบนี้ พ่อของผมมีห้องสมุดขนาดใหญ่ ในวัยเยาว์ของท่านราวปลายปีทศวรรษที่ 1940s ท่านต้องการเป็นนักกวีของอีสตันบูล และได้แปลงานของ Valery (*) เป็นภาษาเตอร์กีช แต่ท่านไม่ประสงค์ที่จะดำรงชีวิตอย่างนั้น ในฐานะนักเขียนบทกวีในประเทศยากจนและมีคนอ่านน้อย พ่อของพ่อ "ปู่" ท่านเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่ง ด้วยเหตุนี้พ่อจึงมีชีวิตอย่างสุขสบายเมื่อวัยเด็กและตอนวัยรุ่น และท่านไม่ประสงค์ที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างยากแค้นเพื่อจุดหมายทางวรรณกรรม เพื่องานเขียน ท่านรักชีวิตที่เต็มไปด้วยความงามของมันทั้งหมด ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจ
(*) Ambroise-Paul-Toussaint-Jules Valery (October 30, 1871 - July 20, 1945) was a French poet, essayist, and philosopher. His interests were sufficiently broad that he can be classified as a polymath. In addition to his poetry and fiction (drama and dialogues), he also wrote many essays and aphorisms on art, history, letters, music, and current events.
สิ่งแรกที่เก็บผมไว้ให้ห่างจากสิ่งที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าเดินทางของพ่อก็คือ แน่นอน ความกลัวว่าผมอาจจะไม่ชอบในสิ่งที่อ่าน เพราะพ่อของผมก็รู้เรื่องนี้ ท่านจึงระมัดระวังกับการกระทำราวกับว่าท่านไม่จริงจังกับเนื้อหาที่อยู่ข้างในเท่าใดนัก ภายหลังจากทำงานในฐานะนักเขียนมา 25 ปี มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่จะดู ผมไม่ต้องการโกรธพ่อสำหรับความล้มเหลวที่จะใส่ใจในวรรณกรรมมากพอ ความกลัวที่แท้จริงของผม สิ่งที่สำคัญยิ่งซึ่งผมไม่ปรารถนาที่จะรู้หรือค้นพบ เป็นไปได้ว่าพ่ออาจจะเป็นนักเขียนที่ดีคนหนึ่ง ผมไม่สามารถเปิดกระเป๋าของพ่อได้เพราะผมกลัวในเรื่องนี้ หนักไปกว่านั้น ผมไม่อาจยอมรับที่จะเปิดตัวของผมเอง ถ้าวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่และแท้จริงโผล่มาจากกระเป๋าเดินทางของพ่อ ผมจะต้องรับรู้สิ่งที่อยู่ภายในตัวพ่อซึ่งเป็นคนที่ต่างไปเลยอย่างสิ้นเชิง นี่คือเรื่องที่น่าตกใจและเป็นไปได้ เพราะแม้ในช่วงอายุของผมที่เพิ่มขึ้น ผมก็ยังต้องการให้พ่อเป็นเพียงพ่อของผมเท่านั้น "ไม่ใช่นักเขียน"
นักเขียนคือคนซึ่งใช้เวลาหลายปีอย่างอดทน เพื่อพยายามค้นหาบุคคลที่สองที่อยู่ภายในตัวพวกเขาเอง และโลกสร้างพวกเขาให้พวกเขาเป็นใคร: เมื่อพูดถึงการเขียน สิ่งซึ่งผุดขึ้นมาในใจผมอย่างแรกสุดมิใช่นวนิยาย บทกวี หรือขนบจารีตทางอักษรศาสตร์ แต่คือคนๆ หนึ่งที่ขังตัวเองอยู่ในห้อง นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเพียงลำพัง ผันตัวเองเข้าสู่โลกภายใน ท่ามกลางเงามืด เขาหรือเธอได้สรรค์สร้างโลกใหม่ด้วยถ้อยคำ ชายหรือหญิงคนนี้ อาจใช้เครื่องพิมพ์ดีด ใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเขียนถ้อยคำด้วยปลายปากกาลงบนกระดาษ อย่างที่ผมเคยทำมา 30 ปี ขณะที่เขียน อาจดื่มชาหรือกาแฟ หรือสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า อาจลุกจากโต๊ะทำงานเพื่อมองผ่านออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพวกเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่บนท้องถนน และถ้าเผื่อว่าโชคดี นอกหน้าต่างอาจเป็นต้นไม้ หรือจะจ้องไปที่กำแพงดำมืด สามารถรจนาบทกวี แต่งบทละคร หรือประพันธ์นวนิยายอย่างที่ผมทำ ความแตกต่างทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากภารกิจอันสำคัญยิ่งของการนั่งอยู่กับโต๊ะและหวนกลับเข้าสู่โลกภายในอย่างอดทน
การเขียนคือการหวนกลับเข้าสู่โลกภายใน เพ่งมองไปที่ตัวหนังสือ ศึกษาถ้อยคำซึ่งคนๆ นั้นผ่านตาเมื่อเขาถอนตัวจากโลกภายนอกเข้าสู่ตัวของเขาเอง และกระทำมันอย่างขันติ ด้วยความดันทุรัง และด้วยความเพลิดเพลิน ดั่งที่ผมนั่งอยู่กับโต๊ะหลายต่อหลายวัน นับเดือนนับปี ค่อยๆ เพิ่มเติมถ้อยคำอย่างเชื่องช้าลงบนหน้ากระดาษอันว่างเปล่า ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้สร้างสรรค์โลกใหม่ขึ้นมา ราวกับผมกำลังก่อเกิดคนอื่นในตัวผม ในหนทางเดียวกัน ใครบางคนอาจสร้างสะพานหรือโดมด้วยก้อนอิฐ ก้อนแล้วก้อนเล่า อิฐต่างๆ เหล่านั้นสำหรับเราในฐานะนักเขียนที่นำมาใช้คือ"ถ้อยคำ" ขณะที่เราถือมันอยู่ในมือ เราตระหนักถึงวิธีการต่างๆ ซึ่งพวกมันจะถูกเชื่อมโยงกับอิฐก้อนอื่นๆ มองไปที่พวกมัน บางครั้งจากมุมมองที่ไกลออกไป บางคราวเหมือนดั่งกับการสัมผัส ประเล้าประโลมด้วยความรักจากปลายนิ้วและปลายปากการของเรา ชั่งน้ำหนักพวกมัน ขยับมันไปรอบๆ ปีแล้วปีเล่าอย่างอดทน และอย่างเต็มไปด้วยความหวัง พวกเขาได้สรรค์สร้างโลกใหม่ขึ้น
ความลับของนักเขียนมิใช้แรงบันดาลใจ สำหรับมันแล้ว ไม่เคยกระจ่างชัดว่ามาจากที่ไหน แต่มันคือความดื้อด้าน ความมีขันติ มีคำพูดของชาวตุรกีที่น่ารักกล่าวถึง - การขุดบ่อน้ำด้วยปลายเข็ม (to dig a well with a needle) - ดูเหมือนสำหรับผมแล้ว สะท้อนอยู่ในใจของบรรดานักเขียน ในเรื่องเล่าเก่าๆ ผมรักในความอดทนของ Ferhat ซึ่งขุดอุโมงค์ผ่านภูเขาด้วยความรักและผมเข้าใจมันด้วยเช่นกัน ในนวนิยายของผม My Name is Red, เมื่อผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับบรรดานักวาดภาพขนาดเล็ก(miniature)อันเก่าแก่ชาวเปอร์เชีย ซึ่งวาดภาพม้าตัวเดิมด้วยความรู้สึกหลงใหลแบบเดิมๆ เป็นเวลาหลายปี จดจำได้ถึงฝีแปลงแต่ละแต้ม ซึ่งพวกเขาสามารถสร้างสรรค์ภาพม้าอันงดงามขึ้นมาได้เสมอ แม้กระทั่งขณะปิดตาก็ตาม ผมรู้ว่ากำลังพูดถึงเกี่ยวกับอาชีพงานเขียนและชีวิตของผมเอง
ถ้าหากว่านักเขียนเล่าเรื่องของตัวเขาเอง สาธยายมันออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องๆ หนึ่งของคนอื่น ถ้าเขารู้สึกถึงพลังอำนาจที่ผุดขึ้นมาในตัวเขา ถ้าเขานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือด้วยความอดทน ปล่อยตัวเขาเองไปกับศิลปะ งานฝีมือนี้ อย่างแรกเขาจะต้องมีความหวังบางอย่าง เทพธิดาแห่งแรงบันดาลใจ(ซึ่งมักจะไปเยี่ยมเยือนใครบางคนเสมอ แต่อีกบางคนกลับแทบไม่เคยพานพบเลย) ชื่นชมกับความหวังและความมั่นใจ และเมื่อนักเขียนรู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างที่สุด เมื่อเขารู้สึกคลางแคลงอย่างสุดๆ เกี่ยวกับความพยายามของตัวเอง ความฝันต่างๆ และคุณค่าในงานเขียน เมื่อเขาคิดถึงเรื่องเล่าของเขาเป็นเพียงเรื่องเล่าของตัวเอง ณ ช่วงขณะนั้นที่เทพธิดาเลือกที่จะเผยตัวในเรื่องราวต่างๆ ภาพและความฝันจะวาดภาพโลกซึ่งเขาปรารถนาที่จะสรรค์สร้าง ถ้าเผื่อผมคิดย้อนกลับไปถึงหนังสือหลายเล่มที่ได้อุทิศชีวิตของผมทั้งหมดให้ ผมรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุดกับช่วงเวลาเหล่านั้น ผมรู้สึกราวกับว่าประโยคต่างๆ ความฝันทั้งหลาย และหน้าหนังสือพวกนั้นที่ทำให้ผมเป็นสุขและปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น ซึ่งมันมิได้มาจากจินตนาการของตัวเองเลย พลังอำนาจอีกอันหนึ่งต่างหากที่ได้สร้างพวกมันขึ้นมา และนำเสนอพวกมันต่อตัวผมอย่างล้นเหลือ
ผมกลัวที่จะเปิดกระเป๋าเดินทางของพ่อและอ่านสมุดบันทึกของท่าน เพราะผมรู้ว่าท่านไม่อดทนต่อความยากลำบากซึ่งผมทนอด ชีวิตไม่เคยอยู่ลำพัง ท่านรักที่จะอยู่ร่วมกันกับเพื่อนๆ ฝูงชน ห้องรับแขก ความสนุกสนาน และวงสมาคม แต่หลังจากนั้นความคิดทั้งหลายของผมต้องเปลี่ยนไป ความคิดต่างๆ เหล่านี้ ความฝันหลายหลากเกี่ยวกับการสลัดทิ้งและความอดทน ล้วนเป็นอคติที่ผมได้รับมาจากชีวิตของตัวเองและประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง โลกเต็มไปด้วยบรรดานักเขียนที่เฉลียวฉลาดซึ่งเขียนงานขึ้นรายรอบฝูงชนและชีวิตครอบครัว ในความแวววาวของวงสมาคมและความเพ้อเจ้ออย่างมีความสุข ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงที่เราต่างเยาว์วัย พ่อของผมเหนื่อยหน่ายกับความซ้ำซากของชีวิตครอบครัว และทิ้งพวกเราไปยังปารีส สถานที่ซึ่ง คล้ายคลึงกับบรรดานักเขียนจำนวนมาก ท่านนั่งอยู่ในห้องที่โรงแรมและเติมข้อความลงไปในสมุดบันทึก ผมรู้ด้วยเช่นกันว่า สมุดบันทึกบางเล่มเหล่านั้นอยู่ในกระเป๋าเดินทางใบนี้ เพราะช่วงหลายปีก่อนที่ท่านจะมอบกระเป๋าให้กับผม ในที่สุดพ่อก็เอ่ยกับผมเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นของชีวิต ท่านพูดถึงเดือนปีเหล่านั้นแม้แต่ตอนที่ผมเป็นเด็ก แต่ท่านไม่เคยกล่าวถึงความอ่อนแอ ความฝันต่างๆ ของท่านที่จะเป็นนักเขียน หรือตั้งคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ที่ตามรังควานท่านในห้องที่โรงแรม ท่านบอกกับผมเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ได้เห็น Jean-Paul Sartre บนบาทวิถีของปารีส เล่าถึงหนังสือที่ท่านอ่าน ภาพยนตร์ที่ท่านดู ทั้งหมดเหล่านี้ท่านทำด้วยความสุขที่แท้เท่าที่ใครคนหนึ่งซึ่งติดตามข่าวสำคัญๆ อยู่เสมอทำได้
เมื่อผมกลายเป็นนักเขียน ผมไม่เคยลืมเลือนที่จะขอบคุณข้อเท็จจริงบางส่วนที่ผมมีพ่อคนหนึ่ง ซึ่งเล่าเกี่ยวกับโลกของพวกนักเขียนมากกว่าที่จะพูดถึงขุนนางชั้นสูงของตุรกี หรือผู้นำทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย บางทีผมจะต้องอ่านสมุดบันทึกต่างๆ ของพ่อในแบบนี้ในใจ และจดจำไว้ว่าผมเป็นหนี้บุญคุณมากเท่าใดกับห้องสมุดขนาดใหญ่ของท่าน ผมจะต้องตระหนักไว้ในใจเสมอว่า ตอนที่ท่านอยู่กับพวกเรา พ่อก็เหมือนกันกับผม ซึ่งเพลิดเพลินอยู่ลำพังกับหนังสือต่างๆ และความคิดของท่าน และไม่ได้ให้ความสนใจมากจนเกินไปกับคุณภาพเชิงวรรณกรรมเกี่ยวกับงานเขียนของท่านเท่าใดนัก
แต่ขณะที่ผมมองอย่างกังวลใจไปที่กระเป๋าเดินทางของพ่อซึ่งท่านยกให้เป็นมรดก ผมยังรู้สึกด้วยว่า นี่เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งผมไม่สามารถทำได้ บางครั้งพ่อผมก็นอนแผ่บนเก้าอี้นวมพร้อมกับหนังสือของท่าน ปล่อยให้หนังสือหรือวารสารอยู่คามือ และถูกพัดพาไปสู่ความฝัน หายไปกับความคิดต่างๆ เป็นเวลานานของตัวเอง เมื่อผมมองไปที่ใบหน้าของท่าน สีหน้าออกจะแตกต่างไปจากคนๆ หนึ่งซึ่งเคยห่อหุ้มด้วยเรื่องตลก ชอบหยอกล้อ และชอบทะเลาะกับครอบครัว - ผมเห็นถึงเครื่องหมายต่างๆ มาแต่แรกในการจ้องมองมาจากภายใน - โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างวัยเด็กและช่วงแรกของวัยรุ่น ความเข้าใจ ด้วยความประหม่า ความที่ท่านไม่สบอารมณ์ มาถึงตอนนี้หลังจากที่เวลาผ่านไปหลายปี ผมทราบว่าความไม่พอใจนี้คือคุณสมบัติพื้นฐานที่ได้เปลี่ยนแปลงคนไปสู่การเป็นนักเขียน
การเป็นนักเขียนนั้น ความอดทนและความตรากตรำยังนับว่าไม่เพียงพอ นั่นคือ อย่างแรกเราจะรู้สึกต้องบังคับตัวเองให้หนีไปจากฝูงชน วงสมาคม แก่นแท้ของความเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวัน และงับประตูอยู่ในห้อง พวกเราต้องการความอดทนและความหวัง เพื่อว่าเราจะสามารถสร้างสรรค์โลกอันลึกล้ำใบหนึ่งขึ้นมาในงานเขียน ความปรารถนาที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องคือสิ่งที่ผลักดันให้เราไปสู่การกระทำ
ในอดีต นักเขียนอิสระประเภทนี้ซึ่งอ่านหนังสือของเขาสู่เนื้อหาแห่งหัวใจของตนเอง และคนที่ฟังเพียงสุ้มเสียงของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตน โต้เถียงกับคำต่างๆ ของคนอื่น คนที่ได้เข้าไปสู่การสนทนากับหนังสือหลายเล่มของเขาและพัฒนาความคิดของตัว และโลกของตัวเอง - แน่นอน เขาผู้นั้นคือ Montaigne (*) ในช่วงของอรุณรุ่งแห่งวรรณกรรมสมัยใหม่. Montaigne ถือเป็นนักเขียนคนหนึ่งซึ่งพ่อผมมักจะหวนกลับไปอ่านอยู่เสมอ นักเขียนที่ท่านแนะนำให้ผมรู้จัก ผมปรารถนาที่จะเห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของจารีตนักประพันธ์ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดบนโลก ตะวันออกหรือตะวันตก ปลีกตัวของพวกเขาเองออกจากสังคม และเก็บตัวอยู่กับหนังสือของพวกเขาในห้อง จุดเริ่มต้นของวรรณกรรมที่แท้คือ คนๆ หนึ่งซึ่งปิดตัวเองอยู่ในห้องกับหนังสือต่างๆ ของเขา
(*) Michel Eyquem de Montaigne (February 28, 1533-September 13, 1592) was one of the most influential writers of the French Renaissance. Montaigne is known for popularizing the essay as a literary genre. He became famous for his effortless ability to merge serious intellectual speculation with casual anecdotes and autobiography - and his massive volume Essais (translated literally as "Attempts") contains, to this day, some of the most widely influential essays ever written. Montaigne had a direct influence on writers the world over, including Blaise Pascal, Ren? Descartes, Ralph Waldo Emerson, Stefan Zweig, Friedrich Nietzsche, Jean-Jacques Rousseau, Isaac Asimov, and perhaps William Shakespeare.
เมื่อเราปลีกตัวของเราเองออกมา ในไม่ช้าเราจะค้นพบว่าเรามิได้อยู่เพียงลำพังอย่างที่คิด เราสมาคมอยู่กับคำพูดต่างๆ ของผู้คนเหล่านั้นซึ่งอยู่ตรงหน้าเรา ด้วยเรื่องเล่าของคนอื่น หนังสือของคนอื่น คำพูดของคนอื่น สิ่งซึ่งเราเรียกว่าขนบจารีต ผมเชื่อว่าวรรณกรรมคือบ่อเกิดและแหล่งสะสมอันทรงคุณค่าที่มนุษยชาติได้รวมการสำรวจและค้นพบเพื่อความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของมันเอง. สังคม ชนเผ่า และบรรดาผู้คนทั้งหลายเติบโตมีสติปัญญามากขึ้น รุ่มรวยขึ้น และก้าวหน้ามากขณะที่พวกเขาได้ใช้จ่ายความสนใจไปกับคำต่างๆ ที่มีปัญหาของบรรดานักประพันธ์ของพวกเขา
และอย่างที่พวกเรารู้กัน การเผาทำลายหนังสือและการใส่ร้ายหรือต่อต้านนักประพันธ์คือสัญญานว่าห้วงเวลาแห่งความมืดมนอนธกาล และการสบประมาทปกคลุมเรา แต่วรรณกรรมไม่เคยเป็นเพียงความใส่ใจประจำชาติเท่านั้น นักเขียนที่ปิดขังตนเองอยู่ในห้องและเริ่มต้นเดินทางเข้าสู่โลกภายในของตัวเอง เดือนปีผ่านไป เขาจะค้นพบกฎอันเป็นนิรันดรของวรรณกรรม นั่นคือ เขาจะต้องมีความสามารถในทางศิลปะที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของตน ราวกับว่ามันเป็นเรื่องราวของคนอื่น และเล่าขานเรื่องราวของคนอื่นดั่งกับว่ามันคือเรื่องราวของเขาเอง สำหรับอันนี้คือสิ่งที่วรรณกรรมทำ แต่ก่อนอื่นเราจักต้องท่องเที่ยวผ่านเรื่องราวและหนังสือของคนอื่น
พ่อของผมมีห้องสมุดที่ดีซึ่งบรรจุไปด้วยหนังสือกว่า 1,500 เล่ม มากพอสำหรับการเป็นนักเขียน ในช่วงที่ผมอายุ 22 เป็นไปได้ที่ผมยังไม่ได้อ่านพวกมันทั้งหมด แต่ผมคุ้นเคยกับหนังสือแต่ละเล่มดี ผมรู้ว่ามันสำคัญ ซึ่งให้ความสว่างและง่ายต่อการอ่าน เป็นเรื่องคลาสสิก แก่นสารทางการศึกษา มีทั้งเรื่องราวขบขันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นซึ่งอาจหลงลืมได้ และนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสที่พ่อผมให้คุณค่าอย่างสูง บางครั้งผมมองห้องสมุดนี้มาจากระยะไกลและจินตนาการไปว่า สักวันหนึ่ง ในบ้านอีกหลัง ผมจะสร้างห้องสมุดของตนเองขึ้นมาบ้างและดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ สร้างโลกของตนเองขึ้นมา เมื่อผมจ้องมองห้องสมุดของพ่อจากที่ไกลๆ ดูเหมือนมันจะเป็นภาพเล็กๆ ของโลกแห่งความจริงสำหรับผม แต่นี่คือโลกที่มองมาจากมุมของเราเอง จากอิสตันบูล ห้องสมุดคือหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งนี้
พ่อของผมสร้างห้องสมุดของท่านขึ้นมาจากการเดินทางไปต่างประเทศ หนังสือส่วนใหญ่ซื้อมาจากปารีสและอเมริกา แต่ยังรวมถึงหนังสือที่ซื้อมาจากร้านที่ขายหนังสือภาษาต่างประเทศในช่วงทศวรรษที่ 40s และ 50s ด้วย บรรดาคนขายหนังสือเก่าและใหม่ของอิสตันบูลซึ่งผมรู้จัก โลกของผมคือส่วนผสมของท้องถิ่น ชาติ และตะวันตก ในช่วงทศวรรษที่ 70s ผมเริ่มมีความทะเยอทะยานมากขึ้นที่จะสร้างห้องสมุดของตนเอง ผมไม่ได้ตัดสินใจที่จะเป็นนักเขียนเสียทีเดียว ขณะที่ผมสัมพันธ์กับอิสตันบูล ผมรู้สึกว่าท้ายสุดอยากจะเป็นจิตรกร แต่แล้วผมก็ไม่มั่นใจว่าหนทางไหนที่ชีวิตควรจะเดินไป ความอยากรู้อยากเห็นมันอยู่ภายในตัวของผมอย่างไม่เคยผ่อนพัก ความปรารถนาที่ขับเคลื่อนความหวังที่จะอ่านและเรียนรู้ แต่ในเวลาเดียวกันผมรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองในบางหนทางยังคงขาดหายไป ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่เหมือนกับคนอื่นๆ ได้
ส่วนหนึ่งของความรู้สึกนี้ถูกเชื่อมโยงกับอารมณ์เมื่อผมจ้องมองไปที่ห้องสมุดของพ่อ การดำรงอยู่ที่ไกลห่างจากศูนย์กลางของสิ่งต่างๆ ดั่งเช่นพวกเราทั้งหมดที่อยู่ในอิสตันบูลในห้วงเวลานั้นซึ่งถูกทำให้รู้สึก เกี่ยวกับการดำรงอยู่ในต่างจังหวัด มันมีเหตุผลอีกอย่างสำหรับความรู้สึกกระวนกระวายและบางครั้งขาดหายไป สำหรับผมแล้วรู้ดีว่าผมอยู่ในประเทศหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าได้ให้ความสนใจต่อความเป็นศิลปินของตนเองน้อยมาก - ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรหรือนักเขียน - และนั่นทำให้พวกเขาไร้ซึ่งความหวัง ในช่วงทศวรรษที่ 70s ผมนำเงินที่พ่อให้ ไปซื้อหนังสือเก่าที่มีสภาพยับเยิน มีฝุ่นเกาะจากคนขายหนังสือเก่าของอิสตันบูลอย่างกระหาย ผมได้รับผลพวงจากหนังสือมือสองที่น่าเวทนาเหล่านี้ ตลอดรวมถึงความกระเซอะกระเซิงอย่างสิ้นหวังของคนขายหนังสือทั้งหลายที่ยากจน ดูสกปรก คนเหล่านี้วางสินค้าของพวกเขาอยู่ที่ข้างถนน ในสนามหญ้าหน้าสุเหร่า และตามช่องกำแพงผุๆ ซึ่งผมโตมากับกองหนังสือเหล่านี้ของพวกเขา
โดยความรู้สึกพื้นฐานของตัวเอง สถานที่ของผมในชีวิต ในโลก เช่นเดียวกับในวรรณกรรม ผมรู้สึกถึงการไม่ได้อยู่ ณ ศูนย์กลาง ในศูนย์กลางของโลกคือการมีชีวิตที่รุ่มรวย มั่งคั่ง และตื่นเต้นกว่าของพวกเรา และกับทั้งหมดของอิสตันบูล ทั้งหมดของตุรกี ผมอยู่นอกศูนย์กลางนั้น ทุกวันนี้ผมคิดว่าผมมีส่วนร่วมปันกับความรู้สึกพวกนี้กับผู้คนส่วนใหญ่บนโลก ในทำนองเดียวกัน ก็มีโลกของวรรณกรรมและแกนกลางของมันเหมือนกัน ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวผมเหลือเกินเช่นกัน อันที่จริง สิ่งที่อยู่ในใจผมก็คือตะวันตก ไม่ใช่โลก วรรณกรรม และพวกเราที่อาศัยอยู่ในตุรกีอยู่ขอบนอกมัน ห้องสมุดของพ่อผมเป็นพยานหลักฐานของสิ่งเหล่านี้ ณ มุมหนึ่ง คือหนังสือต่างๆ ของอิสตันบูล - วรรณคดีของเรา โลกท้องถิ่นของพวกเรา ในรายละเอียดอันเป็นที่รักทั้งมวล - และในอีกมุมเป็นหนังสือจากดินแดนอื่น ตะวันตก โลก ซึ่งในความน่าเบื่อของตัวเราเองไม่มีอะไรคล้ายคลึงเลย
ในความขาดแคลนของเราเกี่ยวกับความเหมือน ได้ทำให้เราทั้งรู้สึกเจ็บปวดและมีความหวัง เพื่อจะเขียน เพื่อจะอ่าน คล้ายดั่งต้องทอดทิ้งโลกใบหนึ่งเพื่อไปพานพบกับการปลอบโยนในความเป็นอื่นในโลกของคนอื่น ความแปลกประหลาดและความน่าพิศวง ผมรู้สึกว่าพ่ออ่านนวนิยายเพื่อหนีให้พ้นไปจากชีวิตของท่านและบินไปสู่ตะวันตก - คล้ายดั่งที่ผมทำในเวลาต่อมา หรือดูเหมือนว่าสำหรับผมแล้วหนังสือพวกนั้นในวันเวลาดังกล่าวคือสิ่งที่เราหยิบขึ้นมาเพื่อหนีไปให้พ้นจากวัฒนธรรมของเราเอง ซึ่งเราพบว่ามันช่างขาดแคลนเสียนี่กระไร ไม่ใช่ด้วยการอ่านที่เราละจากชีวิตในอิสตันบูลไปพื่อเดินทางสู่ตะวันตกเท่านั้น - อันนี้รวมถึงโดยการเขียนด้วย เพื่อบรรจุข้อความลงในสมุดบันทึกพวกนั้นของท่าน พ่อผมเดินทางไปยังปารีส ปิดขังตัวท่านเองอยู่ในห้อง และต่อจากนั้นนำเอางานเขียนต่างๆ ของท่านกลับมายังตุรกี ขณะที่จับจ้องไปยังกระเป๋าเดินทางของพ่อ ดูเหมือนว่าสำหรับผมแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่สงบใจ หลังจากทำงานอยู่ในห้องๆ หนึ่งเป็นเวลา 25 ปี เพื่ออยู่รอดในฐานะนักเขียนของตุรกี มันกวนใจผมเมื่อมองไปยังความคิดอันลึกซึ้งของท่านที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางใบนั้น โดยการกระทำราวกับว่างานเขียนที่บรรจุอยู่ภายในต้องถูกทำเป็นความลับ ไกลห่างไปจากสายตาของสังคม รัฐ และผู้คน บางทีนี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ผมรู้สึกเคืองพ่อ สำหรับการที่ไม่จริงจังกับวรรณกรรมมากพอดั่งที่ผมทำ
อันที่จริงผมรู้สึกโกรธที่พ่อมิได้ดำเนินชีวิตอย่างที่ผมเป็น ทั้งนี้เพราะท่านไม่เคยทะเลาะกับชีวิตของท่าน แต่กลับใช้ชีวิตไปกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขกับบรรดาเพื่อนๆ และคนที่ท่านรัก ส่วนหนึ่งของชีวิตผมสามารถกล่าวได้เช่นกันว่า ผมมิได้"ขุ่นเคือง"มากมายนักยิ่งไปกว่า"ความริษยา" คำหลังนี้ดูเหมือนว่าจะถูกต้องกว่า และคำนี้เช่นกันที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดและกระสับกระส่าย เป็นเช่นนั้นเมื่อผมถามไถ่ตัวเองอย่างดูหมิ่นและด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราดว่า อะไรคือความสุข? ความสุขคือการที่ผมจมลึกอยู่ในห้องที่โดดเดี่ยวใช่ไหม? หรือความสุขคือการนำชีวิตไปสู่ความสะดวกสบายทางสังคม เชื่อในสิ่งเดียวกันเหมือนกับคนอื่นๆ หรือทำอะไรอย่างเดียวกันกับที่คนอื่นทำ? นั่นคือความสุข หรือปราศจากความสุขด้วยการนำไปสู่ชีวิตการเขียนอย่างลับๆ ขณะที่ดูเหมือนว่าอยู่อย่างความกลมกลืนกับสิ่งรอบตัว? เหล่านี้คือคำถามที่ป่วยการและใช้อารมณ์หมกมุ่นมากเกินไป ที่ใดก็ตามซึ่งผมได้มาถึงความคิดเกี่ยวกับมาตรวัดชีวิตที่ดีคือความสุข? ผู้คน กระดาษ ทุกคนกระทำราวกับว่ามาตรวัดที่สำคัญสุดของชีวิตคือความสุข อันนี้เพียงอย่างเดียวมิได้แย้มนัยว่ามันอาจเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าในความพยายามที่จะค้นหา หากว่าสิ่งที่ตรงข้ามคือความจริงใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พ่อได้หนีห่างจากครอบครัวของตัวเองไปหลายต่อหลายครั้ง มันดีอย่างไรสำหรับท่าน มันดีอย่างไรซึ่งผมรู้และพูดได้ว่าเข้าใจซึ้งถึงความไม่สงบของท่าน
นี่คือสิ่งที่ได้ขับดันผมเมื่อเปิดกระเป๋าเดินทางของพ่อเป็นครั้งแรก พ่อผมมีความลับ ชีวิตท่านปราศจากความสุขซึ่งผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย บางสิ่งที่ท่านทำได้เพียงยืนหยัดมาได้โดยเทมันลงไปในงานเขียนของท่านทั้งหมดเท่านั้น ทันทีที่ผมเปิดกระเป๋าใบนั้น ผมรำลึกถึงกลิ่นของการเดินทาง จดจำได้ถึงสมุดบันทึกหลายเล่ม และจำได้ว่าพ่อได้แสดงสิ่งเหล่านี้แก่ผมมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่ได้ไตร่ตรองถึงมันนานแสนนานมาแล้ว สมุดบันทึกส่วนใหญ่ซึ่งตอนนี้ผมได้นำติดมือมาด้วย ท่านได้เขียนบางสิ่งลงไปขณะที่ท่านผละจากพวกเราไปยังปารีสในฐานะคนหนุ่ม ทว่าสำหรับผม คล้ายกับบรรดานักเขียนจำนวนมาก ผมรู้สึกชื่นชมนักเขียนทั้งหลายซึ่งผมได้มีโอกาสอ่านชีวประวัติ ปรารถนาที่จะทราบถึงสิ่งที่พ่อผมเขียนและสิ่งที่ท่านคิด เมื่อตอนที่ท่านมีอายุเท่าๆ ผม มันไม่ได้ทำให้ผมตระหนักว่า ผมมิได้พานพบสิ่งใดคล้ายคลึงกับสิ่งนั้นนานมาแล้วตอนนี้ สิ่งซึ่งทำให้ผมกังวลและรู้สึก กระสับกระส่ายในช่วงนั้น และที่นั่นเกี่ยวกับสมุดบันทึกของพ่อ เมื่อผมได้พานพบสุ้มเสียงอย่างนักเขียนโดยบังเอิญ นี่ไม่ใช่สำเนียงของพ่อ
ผมบอกกับตัวเอง มันไม่ใช่ของแท้ หรืออย่างน้อยที่สุดมันไม่ใช่เป็นเสียงของชายคนหนึ่งซึ่งผมรู้จักในฐานะพ่อ ภายใต้ความกลัวของผมที่ว่า พ่ออาจมิได้เป็นพ่อผมเมื่อท่านลงมือเขียน เป็นความกลัวที่ลึกมาก ความกลัวที่สุดหยั่งถึงภายในที่ผมไม่อาจเชื่อว่าจะพานพบอะไรที่ดีพอในงานเขียนของพ่อ นี่ได้เพิ่มความกลัวเกี่ยวกับการพบว่าพ่อผมได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนักเขียนคนอื่นๆ และผลักผมไปสู่ความสิ้นหวังที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและเลวร้ายมากตอนที่ผมยังหนุ่ม ซึ่งที่กำลังหล่อหลอมมาเป็นชีวิตผม ความเป็นอยู่ของผม ความปรารถนาที่จะเขียน และงานที่มีปัญหาช่วงระหว่างสิบปีแรกในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง ผมรู้สึกกระวนกระวายกับสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และกระทั่งเมื่อผมทำให้สิ่งเหล่านั้นพ่ายแพ้ลง บางครั้งผมกลัวว่าผมจะต้องตกอยู่ในความแพ้พ่าย - ดั่งกับที่ตอนผมสร้างงานจิตรกรรม - จำนนอยู่กับความรู้สึกกระสับกระส่าย และใกล้จะเลิกพยายามที่จะเขียนนวนิยายเช่นกัน
ผมได้กล่าวถึงความรู้สึกที่เป็นแก่นแท้สองประการที่เกิดขึ้นในใจผมไปแล้ว ดั่งที่ผมปิดกระเป๋าของพ่อและวางมันเข้าที่ นั่นคือ อารมณ์ความรู้สึกคล้ายดั่งกำลังถูกปล่อยให้อยู่ในต่างจังหวัด และความกลัวที่ผมจะขาดเสียซึ่งความเป็นของแท้ แน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำให้ตัวของพวกเขาเองรู้สึก หลายต่อหลายปีที่ผมกำลังศึกษา ทั้งในการอ่านและการเขียน การค้นคว้า และหยั่งลึกลงไปในอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ ในความหลากหลายทั้งหมดและผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจ การสิ้นสุดของอาการประสาท การกระตุ้นของสิ่งเหล่านี้ และสีสรรพวกนั้น แน่นอน จิตวิญญานของผมได้รับการสั่นสะเทือนด้วยความสับสน ความรู้สึกอ่อนไหวและความเจ็บปวดชั่วแล่นที่ชีวิตและกองหนังสือได้พรั่งพรูเข้ามา บ่อยที่สุดในช่วงเป็นหนุ่ม แต่มันเป็นเพียงการเขียนหนังสือเท่านั้นที่ทำให้ผมมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ในความเป็นของแท้ (ดั่งเช่นในเรื่อง My Name is Red และ The Black Book) และประเด็นปัญหาต่างๆ ของชีวิตที่อยู่ชายขอบ (เช่นในเรื่อง Snow and Istanbul).
สำหรับผม การเป็นนักเขียนคือการยอมรับบาดแผลอันลึกลับที่เราบรรจุไว้ภายในตัวเรา บาดแผลต่างๆ ที่ลึกลับมากที่ตัวเราเองทราบอย่างหมดเปลือกเกี่ยวกับมัน และการสำรวจมันอย่างอดทน รู้จักมัน ให้ความกระะจ่างกับมัน ต่อการเป็นเจ้าของความเจ็บปวดและบาดแผลเหล่านี้ และทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของสำนึกเกี่ยวกับจิตวิญญานและงานเขียนของเรา
นักเขียนพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทุกคนรู้แต่ไม่รู้ว่าตัวพวกเขารู้ เพื่อสำรวจถึงความรู้นี้ และจ้องมองมันเจริญงอกงาม เป็นสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลิน ผู้อ่านกำลังเข้าเยี่ยมเยือนโลกใบหนึ่งซึ่งคุ้นเคยและมหัศจรรย์ในเวลาเดียวกัน เมื่อนักเขียนขังตัวเองไว้ในห้องหลายต่อหลายปีเพื่อขัดเกลางานฝีมือ - เพื่อสร้างสรรค์โลกใบหนึ่ง - ถ้าเขาใช้บาดแผลอันลึกลับในฐานะจุดเริ่มต้น ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาก็กำลังถ่ายทอดศรัทธาอันยิ่งในตัวมนุษยชาติ ความเชื่อมั่นของผมมาจากความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทั้งมวลคล้ายคลึงกับคนอื่นๆ ซึ่งคนทั้งหลายล้วนมีบาดแผลเหมือนกันกับผม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเข้าใจ วรรณกรรมที่แท้ทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากช่วงวัยเด็กนี้ ความแน่นอนอันเต็มไปด้วยความหวังที่ผู้คนทั้งมวลมีความคล้ายคลึงกันและกัน เมื่อนักเขียนปิดขังตัวเองอยู่ในห้องๆ หนึ่งเป็นเวลาหลายปีจนสิ้นสุด ด้วยท่าทีเช่นนี้ เขาได้นำเสนอมันในฐานะมนุษยชาติคนหนึ่ง โลกใบหนึ่งที่ปราศจากศูนย์กลาง
แต่เช่นที่สามารถเห็นได้จากกระเป๋าเดินทางของพ่อ และความเป็นอยู่ที่ซีดจางของเราในอิสตันบูล โลกมีศูนย์กลางอันหนึ่งและมันห่างไกลจากพวกเราเสียเหลือเกิน ในหนังสือหลายเล่มของผมได้อรรถาธิบายถึงรายละเอียดบางอย่างว่า ข้อเท็จจริงที่เป็นรากฐานนี้ได้ปลุกความรู้สึกแบบ Checkovian sense (*) เกี่ยวกับความเป็นต่างจังหวัดหรือชายขอบอย่างไร และโดยเส้นทางอีกสายหนึ่ง มันน้อมนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความเป็นของแท้และความน่าเชื่อถือของผม ผมรับรู้จากประสบการณ์ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนหมู่มากจริงๆ บนโลกใบนี้ ต่างมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกหลายหลากอย่างเดียวกัน และจำนวนมากต้องทุกข์ทรมานจากความรู้สึกลึกๆ ในความขาดแคลน ความไม่เพียงพอ ขาดเสียซึ่งความมั่นคง และความรู้สึกเลวทราม น่าขายหน้า ยิ่งกว่าที่ผมทำ
(*) Anton Pavlovich Chekhov (January 29 [O.S. January 17] 1860 - July 15 [O.S. July 2] 1904) was a Russian short-story writer, playwright and physician, considered to be one of the greatest short-story writers in world literature. His career as a dramatist produced four classics and his best short stories are held in high esteem by writers and critics. Chekhov practised as a doctor throughout most of his literary career: "Medicine is my lawful wife," he once said, "and literature is my mistress."
ใช่ ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ นี้กำลังเผชิญหน้ากับมนุษยชาติ ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนยังไร้ที่ทำกิน ไร้ที่อยู่อาศัยและหิวโหย แต่ทุกวันนี้ โทรทัศน์และบรรดาหนังสือพิมพ์ของเราได้บอกกับเราเกี่ยวกับปัญหาพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้อย่างเร่งรีบ รวดเร็ว และธรรมดามากกว่าที่วรรณกรรมเคยทำได้ สิ่งซึ่งวรรณกรรมต้องการมากที่สุดที่จะบอกและสืบสาวทุกวันนี้คือ ความกลัวพื้นฐานของมนุษยชาติ นั่นคือ ความกลัวเกี่ยวกับการถูกทอดทิ้งให้อยู่ข้างนอก ความกลัวที่จะถูกนับโดยปราศจากความหมายใดๆ และความรู้สึกเกี่ยวกับความไร้คุณค่าที่มาจากความกลัวนั้น ความอัปยศไร้เกียรติที่สั่งสมมา ความเปราะบาง การถูกดูเบา ความคับข้องใจ ความอ่อนไหว และจินตนาการถึงการเย้ยหยันต่างๆ และการคุยโวโอ้อวดของผู้รักชาติ พวกชาตินิยม และความเพ้อพกและต่อๆ ไปอะไรทำนองนี้
เมื่อใดก็ตามที่ผมต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าว และด้วยความไร้เหตุผล ภาษาที่เกินจริงที่พวกเขามักแสดงออกอยู่เป็นปกติ ผมรู้ว่าพวกเขาได้สัมผัสกับด้านมืดอันหนึ่งภายในตัวผม พวกเรามักจะเป็นพยานรู้เห็นผู้คน สังคม และประชาชาติต่างๆ ที่อยู่ชายขอบโลกตะวันตกเสมอ - และผมสามารถระบุถึงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก - การยอมจำนนต่อความกลัวที่บางครั้งน้อมนำพวกเขาไปสู่การผูกติดกับความโง่เขล ทั้งหมด เป็นเพราะความกลัวในความอัปยศและความรู้สึกอ่อนไหวของพวกเขา ผมยังรู้ต่อไปว่าในตะวันตก - โลกที่ผมสามารถกล่าวถึงมันได้อย่างไม่ยากเย็นเช่นกัน - ประชาชาติและผู้คนที่รู้สึกภาคภูมิในความมั่งคั่งของพวกเขาเสียเหลือเกิน และในการนำพาเราสู่ยุคแห่งการฟื้นฟู(Renaissance), สู่ยุคสว่างแห่งพุทธิปัญญา(the Enlightenment), และลัทธิสมัยใหม่(Modernism)ของพวกเขา ซึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า ได้จำนนเชื่อฟังต่อความพึงพอใจของตนเองที่เกือบจะคล้ายกับความโง่เขลาเลยทีเดียว
นี่หมายความว่า พ่อผมมิใช่เพียงคนเดียวที่พวกเราให้ความสำคัญมากในเรื่องความคิดเกี่ยวกับโลกที่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่บีบังคับเราให้ขังตัวของพวกเราเองเพื่อเขียนอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเป็นศรัทธาในทางตรงข้าม ความเชื่อที่ว่าสักวันหนึ่งงานเขียนของพวกเราจะได้รับการอ่านและเข้าใจ เพราะผู้คนทั่วโลกมีความคล้ายคลึงกันและกัน และนี่คือสิ่งที่ผมรู้ด้วยตัวเองและจากงานเขียนของพ่อ นั่นคือการมองโลกในแง่ดีในการเผชิญกับปัญหา ถูกทำให้เป็นแผลโดยความโกรธสำหรับการถูกส่งไปสู่ชายขอบต่างๆ การถูกทอดทิ้งให้อยู่ภายนอก ความรักและความเกลียดที่ดอสโตเยฟสกี(Dostoyevsky)(*) รู้สึกต่อตะวันตกตลอดชีวิตของเขา - ซึ่งผมรู้สึกอย่างเดียวกันนี้เช่นกันในหลายๆ โอกาส แต่ถ้าเผื่อว่าผมฉวยเอาสาระความจริงอันหนึ่ง ถ้าผมเป็นชนวนสำหรับการมองโลกในแง่ดี ก็เป็นเพราะผมเดินทางร่วมไปกับนักเขียนที่ยิ่งใหญ่นี้โดยผ่านความสัมพันธ์ทั้งรักและชังเกี่ยวกับตะวันตก เพื่อมองโลกใบอื่นซึ่งพวกคุณได้สร้างขึ้นในอีกด้านหนึ่ง
(*) Fyodor Mikhaylovich Dostoyevsky (November 11, [O.S. October 30] 1821 - February 9, [O.S. January 28] 1881) was a Russian writer, essayist and philosopher, known for his novels Crime and Punishment and The Brothers Karamazov. Dostoyevsky's literary output explores human psychology in the troubled political, social and spiritual context of 19th-century Russian society. Considered by many as a founder or precursor of 20th-century existentialism, his Notes from Underground (1864), written in the embittered voice of the anonymous "underground man", was called by Walter Kaufmann the "best overture for existentialism ever written." A prominent figure in world literature, Dostoyevsky is often acknowledged by critics as one of the greatest psychologists in world literature, although some fellow novelists have assessed his works as mediocre and full of platitudes.
นักเขียนทั้งมวลซึ่งได้อุทิศความเป็นอยู่ของพวกเขาไปกับภารกิจนี้ ต่างล่วงรู้ถึงความจริงดังกล่าว นั่นคือจุดประสงค์แต่เดิมของพวกเรา ไม่ว่าอะไรก็ตาม โลกที่พวกเราสร้างสรรค์ขึ้น หลังจากปีแล้วปีเล่าของงานเขียนที่เต็มไปด้วยความหวัง ในท้ายที่สุดจะถูกเคลื่อนไปยังตำแหน่งแห่งที่ ซึ่งแตกต่างไปมาก มันจะนำเราไปไกลห่างจากโต๊ะที่เราทำงาน ด้วยความเศร้าหรือความโกรธ พาเราไปสู่อีกด้านหนึ่งของความโศรกและขุ่นเคืองสู่โลกอีกใบหนึ่ง พ่อผมไม่สามารถไปถึงโลกใบนั้นโดยตัวท่านเองใช่ไหม? คล้ายดั่งดินแดนที่ค่อยๆ เริ่มก่อตัวของมันเองขึ้นมา ผุดขึ้นมาจากไอหมอกในทุกสีสรรอย่างช้าๆ คล้ายการพานพบเกาะแห่งหนึ่งหลังจากท่องทะเลมานาน โลกใบอื่นนี้ทำให้เราหลงใหลคล้ายต้องมนต์สะกด พวกเราคล้ายดั่งถูกล่อลวงเหมือนๆ กับบรรดานักเดินทางชาวตะวันตกซึ่งเดินทางมาถึงทางใต้เพื่อทัศนาอีสตันบูลที่ก่อเกิดขึ้นจากหมอกควัน ณ จุดสิ้นสุดของการเดินทาง เริ่มมีความหวังและความอยากรู้อยากเห็น มันวางนอนอยู่ต่อหน้าพวกเขา เมืองแห่งหอสูงยอดแหลม และสุเหร่า บ้านเรือนที่ดูผสมผสาน ถนนหนทางต่าง หุบเขา ลำห้วยและสะพาน โลกทั้งหมดแห่งหนึ่ง การมองดูมัน เราปรารถนาที่จะเข้าไปในโลกแห่งนี้และทำให้ตัวเราเองหายเข้าในในนั้น เช่นเดียวกับที่เราหายเข้าไปในหนังสือ หลังจากนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งกับความรู้สึกเป็นคนบ้านนอก ถูกกันออกไป อยู่ที่ชายขอบ โกรธเคือง ซึมเศร้าและเหี่ยวเฉาอยู่ลึกๆ เราก็ได้พบพานโลกใบหนึ่งซึ่งพ้นไปจากอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้
สิ่งที่ผมรู้สึกขณะปัจจุบัน เป็นสิ่งซึ่งตรงข้ามกับความรู้สึกในวัยเด็กและตอนเป็นหนุ่ม สำหรับผมแล้ว ศูนย์กลางของโลกคืออีสตันบูล นี่มิใช่เพียงว่าเพราะผมดำรงชีวิตอยู่ที่นั่นมาตลอด แต่เป็นเพราะว่าในช่วงหลัง 33 ปีนี้ ผมกำลังบรรยายถึงท้องถนน สะพาน ผู้คน สุนัข บ้านเรือน สุเหร่า น้ำพุ วีรบุรุษแปลกๆ ร้านค้า นักแสดงที่มีชื่อเสียง มุมมืดต่างๆ วันและคืน สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของผมที่กำลังโอบกอดมันทั้งหมด มาถึงจุดที่ว่าโลกแห่งนี้ที่ผมสร้างขึ้นด้วยมือตัวเอง โลกที่ดำรงอยู่ในหัวผม มันเป็นจริงยิ่งกว่าเมืองๆ หนึ่งซึ่งผมมีชีวิตอยู่จริง เพราะเหตุว่าเมื่อผู้คนและท้องถนนเหล่านี้ วัตถุ สิ่งก่อสร้าง เริ่มต้นพูดคุยกันเองท่ามกลางพวกมัน และเริ่มที่จะมีปฏิกริยาต่อกันในหนทางต่างๆ ที่ผมมิอาจคาดเดาได้ ราวกับว่าพวกมันไม่ได้อยู่ในจินตนาการหรือหนังสือของผม แต่มันอยู่ด้วยตัวของพวกมันเอง โลกแห่งนี้ที่ผมสรรค์สร้างขึ้นคล้ายกับใครคนหนึ่งที่กำลังขุดบ่อด้วยปลายเข็มที่ต่อจากนั้นดูเหมือนจะเป็นจริงยิ่งกว่าที่อื่นใดทั้งหมด
พ่อของผมอาจค้นพบความสุขชนิดนี้ด้วยในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ท่านใช้ไปกับการเขียน ผมคิดขณะที่มองไปที่กระเป๋าเดินทางของพ่อ นั่นคือ ผมไม่ควรที่จะมีอคติต่อท่าน ผมรู้สึกสำนึกในบุญคุณของท่าน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ท่านไม่เคยเป็นผู้ควบคุม สั่งการ ใช้ข้อห้าม ใช้กำลังเพื่อเอาชนะ ลงโทษ ท่านคือพ่อธรรมดาคนหนึ่ง แต่เป็นพ่อที่มักจะให้ผมมีอิสระ มักจะแสดงให้ผมเห็นถึงความเป็นที่น่าเคารพที่สุดเสมอ ผมคิดคำนึงอยู่บ่อยครั้งว่า ถ้าผมสามารถวาดภาพจากจินตนาการถึงการมีอิสรภาพหรือความเป็นเด็ก มันก็เพราะผมไม่ได้กลัวพ่อเช่นดั่งกับเพื่อนๆ ของผมจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น และบางครั้งผมเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า ผมสามารถที่จะเป็นนักเขียนขึ้นมาคนหนึ่งได้ เพราะพ่อของผมทำได้ในวัยเยาว์ ท่านปรารถนาที่จะเป็นนักเขียนเช่นเดียวกัน ผมต้องอ่านท่านด้วยความอดทน - พยายามที่จะทำความเข้าใจในสิ่งซึ่งท่านเขียนในห้องต่างๆ ของโรงแรมเหล่านั้น
ด้วยความคิดทั้งหลายเหล่านี้ที่เต็มไปด้วยความหวัง ผมจึงเดินไปที่กระเป๋า และนั่งลงตรงที่พ่อผมได้วางกระเป๋าเดินทางไว้ ใช้กำลังใจทั้งหมดที่มีอยู่ ผมอ่านต้นฉบับและสมุดบันทึกเพียงไม่กี่เล่ม เพื่อค้นว่าอะไรที่พ่อเขียนถึง? ผมรำลึกถึงภาพสองสามภาพที่มองผ่านหน้าต่างโรงแรมของปารีส บทกวีสั้นๆ บทหนึ่ง ภาษาที่ย้อนแย้ง การวิเคราะห์ ขณะที่ผมเขียน ผมรู้สึกคล้ายใครคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจะอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และพยายามที่จะจดจำว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกหวั่นใจไปกับภาพที่มองเห็นในความทรงจำเอามากๆ เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก ช่วงที่พ่อและแม่ผมจวนเจียนที่จะทะเลาะกัน พวกท่านรู้สึกร่วมกันที่จะเงียบเสียงลง - พลันพ่อผมก็หันไปเปิดวิทยุเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ และดนตรีจะช่วยลืมเลือนมันไปได้อย่างรวดเร็ว
ขอผมเปลี่ยนอารมณ์ด้วยคำหวานเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมหวังว่าจะมาทดแทนเทียบเท่าเสียงดนตรีนั้นได้ ดั่งที่ท่านทราบ คำถามที่บรรดานักเขียนอย่างเราๆ ท่านๆ ถูกถามอยู่บ่อยมากที่สุด ซึ่งเป็นคำถามยอดนิยมคือ ทำไมคุณจึงเขียน? ผมเขียนเพราะผมมีความต้องการภายในที่จะเขียน ผมเขียนเพราะผมไม่อาจทำในสิ่งปกติเหมือนคนอื่นๆ ได้ ผมเขียนเพราะผมต้องการอ่านหนังสือเหมือนกับใครคนหนึ่งที่ผมเขียน ผมเขียนเพราะผมเกลียดพวกคุณทุกคน โกรธคนทุกๆ คน ผมเขียนเพราะผมรักที่นั่งอยู่ในห้องทั้งวันเพื่อเขียน ผมเขียนเพราะผมสามารถมีส่วนร่วมในชีวิตจริงโดยการเปลี่ยนแปลงมัน ผมเขียนเพราะผมต้องการให้คนอื่นๆ พวกเราทั้งหมด โลกทั้งมวล รู้ถึงชีวิตชนิดใดที่เราดำรงอยู่ และดำเนินชีวิตต่อไปในอิสตันบูล ในตุรกี
ผมเขียนเพราะผมรักที่จะดมกลิ่นกระดาษ หมึก และปากกา ผมเขียนเพราะผมเชื่อในวรรณกรรม ในศิลปะของความเป็นนวนิยายมากกว่าที่ผมเชื่อในสิ่งอื่นใดทั้งหมด ผมเขียนเพราะผมกระทำจนเป็นนิสัย ความใหลหลง ผมเขียนเพราะผมผมเกรงว่ากำลังถูกลืม ผมเขียนเพราะผมชอบในความรุ่งโรจน์และความสนใจที่งานเขียนนำมาให้ ผมเขียนเพียงลำพัง บางทีผมเขียนเพราะผมหวังที่จะเข้าใจว่าทำไมผมจึงโกรธมากจริงๆ โกรธพวกคุณทั้งหมด และขัดเคืองกับทุกๆ คน ผมเขียนเพราะผมชอบที่จะถูกอ่าน ผมเขียนเพราะเมื่อผมเริ่มต้นนวนิยาย ความเรียง หน้ากระดาษหน้าหนึ่ง ผมต้องการจะจบมัน ผมเขียนเพราะทุกๆ คนคาดหวังให้ผมเขียน ผมเขียนเพราะผมมีความเชื่อแบบเด็กๆ ในความเป็นอมตะของห้องสมุดต่างๆ และหนังสือทั้งหลายของผมวางอยู่บนชั้นหนังสือ ผมเขียนเพราะมันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่จะเปลี่ยนผันชีวิตทั้งมวลไปสู่ความงามและความรุ่มรวยของภาษา ผมเขียนไม่ใช่เพื่อจะเล่าเรื่อง แต่เพื่อประพันธ์เรื่อง ผมเขียนเพราะผมปรารถนาที่จะหนีไปจากลางสังหรณ์อันเป็นสถานที่หนึ่งที่ผมต้องไป แต่ - นั่นเพียงแค่ในความฝัน - ผมไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้ ผมเขียนเพราะผมไม่เคยสำเร็จในความสุข ผมเขียนเพื่อความสุข
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ท่านได้มาที่ห้องทำงานของผมอีกซึ่งท่านได้วางกระเป๋าเดินทางเอาไว้ พ่อมาเยี่ยมเยือนดั่งเคย ท่านนำชอคโคแล็ทมาให้ผมแท่งหนึ่ง (ท่านลืมไปว่าผมอายุปาเข้าไป 48 ปีแล้ว) เหมือนทุกครั้ง เราคุยและหัวเราะกันเกี่ยวกับชีวิต พูดถึงเรื่องการเมือง และเรื่องซุบซิบในครอบครัว พอมาถึงช่วงหนึ่งสายตาของท่านได้มองไปที่มุมห้องที่ท่านได้วางกระเป๋าเดินทางเอาไว้ และพบว่าผมได้เคลื่อนย้ายมัน เราต่างมองตากัน พลันความเงียบก็เข้ามาครอบงำ ผมไม่ได้บอกท่านว่าผมได้เปิดกระเป๋าใบนั้นแล้วและพยายามอ่านเนื้อหาต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายใน แทนที่จะมองข้ามไป ท่านเข้าใจเช่นเดียวกับที่ผมเข้าใจ เหมือนกับที่ท่านเข้าใจว่าผมเข้าใจที่ท่านเข้าใจ แต่ความเข้าใจนี้ทั้งหมดดำเนินไปเท่าที่เป็นไปได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ทั้งนี้เพราะพ่อเป็นคนที่สนุกสนาน เป็นคนไม่เข้มงวดอะไรและมีศรัทธาในตนเอง ท่านยิ้มให้ผมในแบบที่ท่านทำเสมอ และขณะที่ท่านจากบ้านไป ท่านทำในสิ่งที่น่ารักและให้กำลังใจซ้ำๆ ดังที่ท่านมักพูดกับผมเสมอเหมือนกับพ่อทั่วๆ ไป
เช่นดั่งเคย ผมเฝ้ามองท่านจากไป รู้สึกอิจฉาในความสุขของท่าน ความไร้กังวลของท่านและอารมณ์ที่ไม่สะทกสะท้าน ทว่าผมจำได้ว่าในวันนั้นเป็นวันที่สนุกสนานและรู้สึกแปลบปลาบในตัวผม มันทำให้ผมรู้สึกละอายและ กระตุ้นความคิดขึ้นมาว่า บางทีผมไม่มีความสุขนักในชีวิตอย่างที่ท่านเป็น บางทีผมไม่ยอมปล่อยให้ความสุขและชีวิตดำเนินไปตามความพอใจอย่างที่ท่านทำ เพราะว่าผมอุทิศชีวิตให้กับการเขียน - อย่างที่ท่านเข้าใจ ผมรู้สึกอายที่กำลังคิดถึงสิ่งที่พ่อกระทำและสละเวลาให้ กับผู้คนทั้งมวล พ่อผม ท่านไม่เคยเป็นบ่อเกิดของความเจ็บปวดรวดร้าวของผมเลย ท่านปล่อยให้ผมดำเนินชีวิตไปอย่างอิสระ ทั้งหมดนี้ควรเตือนเราว่างานเขียนและวรรณกรรมถูกเชื่อมโยงแนบสนิทกับการขาดแคลนอันหนึ่ง ณ ใจกลางของความเป็นอยู่ต่างๆ ของเรา และความรู้สึกของเราเกี่ยวกับความสุขและความรู้สึกผิด
แต่เรื่องราวของผมมีความสมมาตรพอควร ซึ่งเตือนผมขึ้นมาทันทีถึงบางสิ่งบางอย่างในวันนั้น และน้อมนำผมไปสู่ความรู้สึกลึกๆ ในระดับเดียวกันกับความรู้สึกผิด ยี่สิบสามปีก่อนพ่อจะนำกระเป๋าเดินทางของท่านมาให้ผม และสี่ปีหลังจากผมตัดสินใจที่จะเป็นนักเขียนนวนิยาย(ราวอายุ 22) และละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ปิดตัวเองอยู่ในห้อง ผมเสร็จสิ้นนวนิยายเรื่องแรก, Cevdet Bey and Sons; ด้วยมืออันสั่นเทา และผมได้นำต้นฉบับพิมพ์ดีดที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์เป็นนวนิยายไปให้พ่อ เพื่อว่าท่านจะได้อ่านมันและบอกกับผมถึงสิ่งที่ท่านคิด นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะผมเชื่อมั่นในรสนิยมและความคิดสติปัญญาของท่าน นั่นคือ ความคิดเห็นของท่านเป็นสิ่งสำคัญมากต่อผม เพราะท่านไม่เหมือนกับแม่ผม ท่านไม่เคยคัดค้านความปรารถนาของผมที่จะเป็นนักเขียน ณ จุดนั้น พ่อของผมไม่ได้อยู่กับเรา แต่ท่านอยู่ไกลออกไป ผมรั้งรออย่างอดทนให้ท่านกลับมา เมื่อท่านเดินทางกลับมาแล้วหลังจากนั้นสองอาทิตย์ พ่อก็มาหา ผมวิ่งไปเปิดประตู พ่อผมไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ทันใดนั้นท่านเหวี่ยงแขนของท่านมารอบตัวผมในวิธีการเดียวกับที่จะบอกผมว่า ท่านชอบมันมากๆ ช่วงขณะหนึ่งซึ่งเราตกอยู่ในความเงียบงัน งุ่มง่าม อึดอัด ซึ่งมักจะเกิดกับชั่วขณะที่เราคลอไปกับห้วงอารมณ์ที่สำคัญอยู่บ่อยๆ ถัดจากนั้น เราก็ค่อยคลายความรู้สึกนั้นลงและเริ่มพูดคุย พ่อหันไปพึ่งภาษาที่อัดอั้นตันใจและเกินจริงเพื่อแสดงออกถึงความเชื่อมั่นของท่านที่มีต่อตัวผม หรือกับนวนิยายเรื่องแรกของผม ท่านกล่าวกับผมว่า สักวันหนึ่งผมจะได้รับรางวัลและพ่อจะอยู่ที่นี่เพื่อรอรับความสุขอันสุขยิ่งนั้น
ท่านพูดประโยคนี้ มิใช่เพราะท่านกำลังพยายามสร้างความมั่นใจให้กับผมเกี่ยวกับความคิดเห็นที่ดีๆ ของท่าน หรือมองเรื่องรางวัลนั้นในฐานะเป้าหมาย แต่ท่านพูดมันคล้ายกับพ่อชาวเตอร์กีชคนหนึ่ง ที่ส่งเสริมลูกชายของท่าน ให้กำลังใจเขาโดยกล่าวว่า "สักวันหนึ่งเธอจะได้เป็น"พาฌะ"(pasha - ขุนนาง[วัฒนธรรม]) หลายต่อหลายปี เมื่อไรก็ตามที่ท่านมองผม ท่านจะให้กำลังใจผมด้วยคำพูดเดียวกันนี้
พ่อของผมถึงแก่กรรมในเดือนธันวาคม
2002
วันนี้ ขณะที่ผมยืนอยู่ ณ สมาคมวิชาการสวีดีช และท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติซึ่งได้มอบรางวัลอันยิ่งใหญ่แก่ผม
เกียรติอันสูงค่านี้ และแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ผมปรารถนาอย่างสุดซึ้งที่จะให้ท่านสามารถอยู่ท่ามกลางพวกเราได้ในวันนี้
Translation from Turkish by Maureen Freely
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไปหน้าแรกของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
I สมัครสมาชิก I สารบัญเนื้อหา 1I สารบัญเนื้อหา 2 I
สารบัญเนื้อหา 3 I สารบัญเนื้อหา
4
I สารบัญเนื้อหา
5 I สารบัญเนื้อหา
6
สารบัญเนื้อหา
7 I สารบัญเนื้อหา
8
ประวัติ
ม.เที่ยงคืน
สารานุกรมลัทธิหลังสมัยใหม่และความรู้เกี่ยวเนื่อง
e-mail
: midnightuniv(at)gmail.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
[email protected]
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545(at)yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนกำลังจัดทำบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทั้งหมด
กว่า 1700 เรื่อง หนากว่า 35000 หน้า
ในรูปของ CD-ROM เพื่อบริการให้กับสมาชิกและผู้สนใจทุกท่านในราคา 150 บาท(รวมค่าส่ง)
(เริ่มปรับราคาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2548)
เพื่อสะดวกสำหรับสมาชิกในการค้นคว้า
สนใจสั่งซื้อได้ที่ midnightuniv(at)gmail.com หรือ
midnight2545(at)yahoo.com
สมเกียรติ
ตั้งนโม และคณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
(บรรณาธิการเว็บไซค์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน)
หากสมาชิก ผู้สนใจ และองค์กรใด ประสงค์จะสนับสนุนการเผยแพร่ความรู้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ชุมชน
และสังคมไทยสามารถให้การสนับสนุนได้ที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในนาม สมเกียรติ
ตั้งนโม
หมายเลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x ธนาคารกรุงไทยฯ สำนักงานถนนสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
หรือติดต่อมาที่ midnightuniv(at)yahoo.com หรือ midnight2545(at)yahoo.com